แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในเรื่องทำหนังสือสัญญาจ้างรักษาโรค คู่ความนำพยานบุคคลสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงผิดไปจากหนังสือสัญญาได้ ไม่มีกฎหมายห้าม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยป่วยเป็นโรคลมร้ายบวมทั้งตัว ฝีร้ายในคอไม่มีแรงมา 6-7 ปีแล้ว จำเลยได้ตกลงให้โจทก์เป็นแพทย์รักษาโรคของจำเลย โดยคิดค่ายาและค่ารักษารวมเป็นเงิน 4,000 บาท แบ่งชำระ3 ครั้ง ๆ แรกเสียค่ายาครั้งหนึ่งก่อน ครั้งที่ 2 เมื่อรักษาได้12 วันแล้ว 1,000 บาท ครั้งที่ 3 เมื่อหายแล้วชำระอีก 1,000 บาท เงินค่ายาครั้งแรก 2,000 บาท จำเลยชำระแล้ว แต่เมื่อโจทก์รักษาครบ 12 วันแล้ว จำเลยขอผัดการชำระครั้งที่ 2 ไว้ชำระพร้อมกับครั้งที่ 3 บัดนี้โรคของจำเลยหายแล้ว จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,000 บาทกับดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ โจทก์จำเลยตกลงกันว่าโจทก์รักษาโรคของจำเลยหายจำเลยจึงจะจ่ายเงินให้โจทก์ 4,000 บาท โจทก์รับล่วงหน้า 2,000 บาท ก่อนแล้ว โจทก์รักษาโรคจำเลยไม่หาย จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินอีก 2,000 บาท
ศาลแพ่งและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่า โจทก์รักษาจำเลยไม่หายจะให้จำเลยจ่ายเงินตามฟ้องไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา ขอให้จำเลยใช้เงินตามฟ้องหรืออย่างน้อยใช้เงินงวดที่ 2 จำนวน 1,000 บาทตามสัญญาเอกสารหมาย 2
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 2,000 บาท โจทก์ฎีกาได้เฉพาะข้อกฎหมาย
ในข้อกฎหมายโจทก์ฎีกาว่า ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีว่าได้ความจากนายชุบโปพยานโจทก์ว่า โจทก์ตกลงด้วยว่า ถ้ารักษาไม่หายจะคืนเงินให้จำเลย 6,000 บาทเท่ากับไม่เชื่อเอกสารหมาย 2 ของโจทก์ เพราะถ้าฟังเอกสารหมาย 2 แล้วจะฟังพยานบุคคลมาแก้ไขเพื่อเติมเอกสารไม่ได้และตามข้อเท็จจริงคดีฟังได้ว่า โจทก์จำเลยมีเอกสารสัญญากัน คือเอกสารหมาย 2 ศาลอุทธรณ์จึงฟังข้อเท็จจริงตรงกันข้ามกับพยานหลักฐานในสำนวน
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายห้ามฟังพยานบุคคลในการที่ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงมานั้นมีพยานหลักฐาน ในสำนวนสนับสนุนมิใช่วินิจฉัยข้อเท็จจริงตรงกันข้ามกับพยานหลักฐาน จึงพิพากษายืน