แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กู้ยืมเงินจำเลยที่ 2 โดยจำนองที่พิพาทเป็นประกันต่อมาโจทก์ตกลงโอนที่พิพาทชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลยที่ 2 ขณะโอนที่พิพาทมีราคาเท่ากับจำนวนหนี้ การตกลงดังกล่าวจึงเป็นไปตามเงื่อนไขแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสองมีผลให้หนี้เงินกู้และสัญญาจำนองระงับไปตามมาตรา 321, 744 และเป็นการที่โจทก์เอาทรัพย์จำนองตีใช้หนี้จำเลยที่ 2 หาใช่ผู้รับจำนองเรียกเอาทรัพย์จำนองหลุดซึ่งผู้จำนองจะต้องขาดส่งดอกเบี้ยถึง 5 ปี ตามมาตรา 729 ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้หลอกลวงให้โจทก์ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจแล้ว จำเลยที่ ๑ ใช้หนังสือมอบอำนาจนั้นจดทะเบียนจำนองที่ดินโจทก์ต่อจำเลยที่ ๒ และต่อมาจำเลยทั้งสองสมคบกันหลอกลวงให้โจทก์ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจเปล่าแล้วนำไปกรอกข้อความโอนที่ดินโจทก์ชำระหนี้แก่จำเลยที่ ๒ ขอให้บังคับจำเลยที่ ๒ โอนที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ ถ้าโอนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน ๓ ล้านบาทแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ไปกู้เงินจำเลยที่ ๒ มาชำระหนี้เดิมของจำเลยที่ ๑ ต่อมาจำเลยที่ ๒ เอาใบมอบฉันทะเปล่าของโจทก์ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ร่วมรู้เห็นด้วย
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ กู้เงินจำเลยที่ ๒ โดยนำที่พิพาทมาจำนองเป็นประกัน ต่อมาเมื่อจำเลยที่ ๒ ทวงให้โจทก์ชำระหนี้ โจทก์จึงมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ โอนที่พิพาทชำระหนี้แก่จำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๓ ล้านบาทแก่โจทก์ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์กู้ยืมเงินจำเลยที่ ๒ จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท ได้จำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามโฉนดเลขที่ ๗๗๒๐ เป็นประกัน โจทก์ค้างชำระดอกเบี้ยเป็นเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาทเศษ รวมเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเงิน ๘๐๐,๐๐๐ บาทเศษต่อมาวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๑๘ โจทก์ได้ทำนิติกรรมโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๗๒๐ รายพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ เพื่อชำระหนี้จำนองที่โจทก์ยังติดค้างชำระจำเลยที่ ๒ อยู่ให้เสร็จสิ้นไป เห็นว่าการที่โจทก์โอนที่ดินรายพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ นั้นเป็นการที่โจทก์ตกลงเอาที่พิพาทชำระหนี้เงินกู้ที่โจทก์ยืมไปจากจำเลยที่ ๒ โดยจำนองที่พิพาทไว้เป็นประกัน และจำเลยที่ ๒ ยอมรับเอาที่พิพาทแทนการชำระหนี้เงินกู้นั้น อันมีผลทำให้หนี้เงินกู้ที่มีการจำนองเป็นประกันระงับสิ้นไปและทำให้สัญญาจำนองระงับสิ้นไปด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒๑, ๗๔๔ และการที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ตกลงกันเอาที่พิพาทชำระหนี้เงินกู้จำนวน ๘๐๐,๐๐๐ บาทเศษนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทในขณะที่โจทก์จดทะเบียนโอนให้จำเลยที่ ๒ มีราคาประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ บาท เท่ากับจำนวนเงินที่โจทก์เป็นหนี้เงินกู้จำเลยที่ ๒ การตกลงของโจทก์กับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นไปตามเงื่อนไขแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๖ วรรคสองที่โจทก์ฎีกาว่าการโอนที่พิพาทเพื่อชำระหนี้ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๗๒๙(๑) นั้น เห็นว่าการจดทะเบียนโอนที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ เป็นกรณีที่โจทก์เอาทรัพย์ที่จำนองตีใช้หนี้ให้จำเลยที่ ๒ หาใช่จำเลยที่ ๒ ผู้รับจำนองเรียกเอาทรัพย์จำนองหลุดซึ่งผู้รับจำนองต้องขาดส่งดอกเบี้ยถึงห้าปีไม่
พิพากษายืน.