คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4143/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่การชำระหนี้ด้วยการใช้เงินจึงจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดงตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง ส่วนการชำระหนี้โดยการใช้เงินตามเช็คที่จำเลยประกันหนี้ไว้กับโจทก์ เป็นการชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินอย่างอื่นแทน และโจทก์ยอมรับไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หนี้ย่อมระงับไปได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน ๑๓,๙๗๕ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์จริงแต่ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลสั่งรับเฉพาะข้อกฎหมายที่ว่าจำเลยนำสืบการชำระหนี้เงินกู้โดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดงเป็นการฝ่าฝืน กฎหมาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์ ๑๓,๐๐๐ บาท และได้เอาเช็คของผู้อื่นมอบให้โจทก์เพื่อประกันหนี้ ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องจำเลยกับพวกเป็นคดีอาญาเกี่ยวกับความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ตามเช็คดังกล่าว จำเลยได้ชำระเงินตามเช็คให้โจทก์แล้ว โจทก์จึงถอนฟ้องคดีดังกล่าว ข้อต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ว่าในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือ การชำระหนี้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดงด้วยนั้นเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๕๓ วรรคสอง บัญญัติว่า “ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว” ตามมาตราดังกล่าวใช้ในกรณีที่การชำระหนี้ด้วยการใช้เงิน จึงจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดง แต่คดีนี้เป็นการชำระหนี้โดยการใช้เงินตามเช็คที่จำเลยประกันหนี้ไว้กับโจทก์จึงมิใช่เป็นการชำระหนี้ด้วยการใช้เงิน แต่เป็นการชำระหนี้ด้วยทรัพย์สินอย่างอื่นแทน และโจทก์ยอมรับไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว หนี้ย่อมระงับไปได้
พิพากษายืน

Share