คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4142/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ผู้ร้องเป็นบุตรของจำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท ดังนั้นไม่ว่าผู้ร้องจะได้ที่พิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ แต่เมื่อผู้ร้องยังมิได้มีการจดทะเบียนการได้มาเช่นนั้น ผู้ร้องก็ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้ซื้อที่พิพาทมาโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วได้ ทั้งกรณีถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแล้ว เมื่อผู้ร้องไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ร้องมีอำนาจพิเศษที่จะอยู่ในที่พิพาทได้ ถือได้ว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลย.

ย่อยาว

คดีนี้ถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าออกจากที่ดินพิพาทและห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสี่เป็นบุตรของจำเลยเดิมที่พิพาทเป็นที่รกร้างว่างเปล่า บิดาและมารดา (จำเลย) ของผู้ร้องได้เข้ายึดถือครอบครองปลูกบ้านอยู่อาศัยครอบครองที่พิพาทตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2503 บิดาผู้ร้องถึงแก่กรรมที่พิพาทและบ้านจึงตกทอดแก่ผู้ร้องและจำเลย จนประมาณ พ.ศ. 2505-2506 จำเลยจึงได้ยกที่พิพาทที่ครอบครองร่วมกันมาในส่วนของจำเลยพร้อมบ้านให้กับผู้ร้องทั้งสี่ ผู้ร้องทั้งสี่จึงมีสิทธิครอบครองที่พิพาทตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ส่วนมารดา (จำเลย) เป็นแต่เพียงผู้อาศัย ประมาณปลาย พ.ศ. 2511 นายวินัยได้ขอออกโฉนดที่พิพาทโดยไม่สุจริต ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องอยู่ในฐานะมีสิทธิที่จะขอทะเบียนได้ก่อน นายวินัยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ต่อมานายวินัยได้ขายที่พิพาทให้แก่นางพัชรีโดยไม่สุจริตแล้ว นางพัชรีได้ขายที่พิพาทให้แก่โจทก์โดยไม่สุจริตและไม่ได้เสียค่าตอบแทนขอให้พิพากษาว่า ผู้ร้องทั้งสี่มีสิทธิครอบครองที่พิพาทมิใช่บริวารของจำเลย ขอให้เพิกถอนการขอออกโฉนดที่ดินเลขที่ 274ตำบลเบตง อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ของนายวินัย เลขะกุล และขอให้พิพากษาว่า ผู้ร้องทั้งสี่เป็นผู้ครอบครองที่ดินโดยปรปักษ์ การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางพัชรีกับโจทก์เป็นทางให้ผู้ร้องทั้งสีเสียเปรียบ ผู้ร้องทั้งสี่อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลย ผู้ร้องชอบที่จะร้องสอดเข้ามาในชั้นพิจารณาคดี ผู้ร้องอ้างว่าครอบครองปรปักษ์เช่นเดียวกับจำเลย เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องทั้งสี่เป็นบริวารของจำเลย และไม่อนุญาตให้ร้องสอด
ผู้ร้องทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้รับคำร้อง
ศาลชั้นต้นสืบพยานผู้ร้องแล้วพิพากษาให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสี่อุทธรณ์ และยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกคำร้องและพิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสี่ฎีกาคำสั่งและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่า ผู้ร้องทั้งสี่เป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ ตามทางไต่สวนของผู้ร้องทั้งสี่คงได้ความแต่เพียงว่า เมื่อบิดาผู้ร้องทั้งสี่ตาย มีทรัพย์มรดกคือที่พิพาทและบ้านเลขที่ 86 ซึ่งปลูกอยู่ในที่พิพาท ผู้ร้องทั้งสี่และจำเลยซึ่งเป็นมารดาก็ยังคงอยู่อาศัยที่บ้านเลขที่ดังกล่าวตลอดมา หลังจากบิดาของผู้ร้องทั้งสี่ตายได้ปีเศษ จำเลยได้ยกบ้านเลขที่ 86 และที่พิพาทในส่วนตนให้ผู้ร้องทั้งสี่ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2511 นายวินัยได้ขอออกโฉนดทับที่พิพาทโดยผู้ร้องทั้งสี่ไม่ทราบ เมื่อนายวินัยขายที่พิพาทให้นางพัชรีและนางพัชรีขายให้โจทก์ ผู้ร้องทั้งสี่ก็ไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ผู้ร้องทั้งสี่ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบให้ฟังได้ว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทจากนางพัชรีไว้โดยรู้ว่าที่พิพาทดังกล่าวผู้ร้องทั้งสี่ได้ครอบครองอยู่ก่อนแล้แต่อย่างใด อันจะทำให้ถือได้ว่าเป็นการไม่สุจริต คดีจึงต้องฟังว่าโจทก์ได้ซื้อที่พิพาทจากนางพัชรีโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ดังนั้นไม่ว่าที่พิพาทผู้ร้องทั้งสี่จะได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เมื่อยังมิได้มีการจดทะเบียนการได้มาเช่นนั้น ผู้ร้องทั้งสี่ก็ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้ซื้อที่พิพาทจากนางพัชรีโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วได้ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรค 2 กรณีถือไม่ได้ว่าผู้ร้องทั้งสี่เป็นบุคคลอันอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแล้วตามมาตรา 1300 ดังที่ผู้ร้องทั้งสี่กล่าวอ้าง เมื่อผู้ร้องทั้งสี่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ร้องทั้งสี่มีอำนาจพิเศษที่จะอยู่ในที่พิพาทได้ ถือได้ว่าผู้ร้องทั้งสี่เป็นบริวารของจำเลย
พิพากษายืน.

Share