แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อคู่ความรับข้อเท็จจริงกันแล้ว  ศาลกะประเด็นไว้ว่า  ประเด็นสำคัญมีอยู่ว่า  ผู้ตายกับจำเลยได้หย่าขาดจากกันหรือไม่  และทรัพย์ตามพินัยกรรมเป็นสินบริคณห์หรือไม่  ซึ่งประเด็นข้อแรกเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างขึ้นมา  จึงเป็นหน้าที่โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามนั้น ส่วนประเด็นว่าทรัพย์ตามพินัยกรรมเป็นสินบริคณห์หรือไม่  เป็นประเด็นขั้นที่สอง  เมื่อโจทก์ต้องสืบประเด็นแรกซึ่งสำคัญก่อนแล้ว  ศาลย่อมให้โจทก์สืบประเด็นข้อหลังด้วยในคราวเดียวกันได้
จำเลยไปแจ้งขอรับมรดกต่อเจ้าหน้าที่อำเภอว่าที่นาพิพาทเป็นมรดกของผู้ตายซึ่งเป็นสามีจำเลยว่า  ที่นาพิพาทเป็นมรดกของผู้ตาย  ไม่ได้แจ้งว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย  และเจ้าหน้าที่ได้โอนให้จำเลยในทางมรดก  จำเลยย่อมนำสืบได้ว่า  จำเลยขอรับมรดกส่วนของผู้ตายตามสิทธิจำเลย  หาใช่เป็นเรื่องกรมธรรม์ปิดปากไม่
จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า  ที่พิพาทเป็นสินบริคณห์  ผู้ตายซึ่งเป็นสามีจำเลยไม่มีสิทธิเอาสินบริคณห์ส่วนของจำเลยไปทำพินัยกรรมยกให้โจทก์  เมื่อผู้ตายตาย  จำเลยจึงขอโอนรับมรดก  จำเลยย่อมนำสืบเพื่อแสดงว่าทรัพย์นั้นเป็นสินบริคณห์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  นายเปล่งกับจำเลยเป็นสามีภริยากัน  เมื่อ ๓๐ ปีเศษมานี้  ได้หย่าขาดจากกัน  นายเปล่งทำพินัยกรรมยกที่ดิน ๒ แปลงให้โจทก์ทั้งสอง  นายเปล่งตายทรัพย์สินตามพินัยกรรมตกได้แก่โจทก์  จำเลยไปแจ้งต่อเจ้าหน้าที่อันเป็นเท็จว่ายังเป็นภรรยานายเปล่ง  นายเปล่งไม่ได้ทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้ผู้ใด  ขอรับมรดกที่พิพาท  เจ้าหน้าที่หลงเชื่อจึงทำนิติกรรมโอนที่ดินพิพาทให้จำเลย  ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการโอนและพิพากษาว่า  โจทก์มีกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ฯลฯ
จำเลยให้การว่า  จำเลยมีสินเดิม  นายเปล่งไม่มีสินเดิม  นายเปล่งไม่เคยหย่าขาดจากจำเลย  โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ทายาท ฯลฯ
วันเริ่มสืบพยาน  จำเลยรับว่านายเปล่งทำพินัยกรรมไว้ตามฟ้องจริง  แต่นางเปล่งกับจำเลยยังไม่หย่าขาดจากกัน  ศาลชั้นต้นเห็นว่าประเด็นสำคัญมีว่า  นายเปล่งกับจำเลยได้หย่าขาดกันหรือไม่   ทรัพย์ตามพินัยกรรมเป็นสินบริคณห์หรือไม่  โจทก์อ้างว่านายเปล่งกับจำเลยหย่าขาดกันแล้ว  โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบก่อน  ประเด็นเรื่องทรัพย์เป็นสินบริคณห์หรือไม่  เป็นประเด็นขั้นที่สอง  จึงมีคำสั่งให้โจทก์นำสืบก่อน  ในประเด็นเรื่องหย่าและเรื่องสินบริคณห์ในคราวเดียวกัน  แล้วให้จำเลยสืบแก้ทั้งสองประเด็น
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า  จำเลยมีสินเดิม  นายเปล่งไม่มี  พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาท ๑ ใน ๓ ตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย  ห้ามจำเลยเข้าขัดขวาง ฯลฯ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  นายเปล่งก็มีสินเดิม  พิพากษาแก้ว่า  โจทก์ทั้งสองมีสิทธิในที่ดินพิพาท ๒ ใน ๓ ส่วน ฯลฯ
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า  นายเปล่งและจำเลยยังมิได้หย่าขาดจากกันและต่างก็มีสินเดิม  เกี่ยวกับหน้าที่นำสืบนั้น  ศาลฎีกาเห็นว่า  เมื่อคู่ความรับข้อเท็จจริงกันแล้ว  ศาลชั้นต้นได้กะประเด็นไว้ว่าประเด็นสำคัญคงมีอยู่ว่านายเปล่งกับจำเลยได้หย่าขาดจากกันดังฟ้องหรือไม่  และทรัพย์ตามพินัยกรรมเป็นสินบริคณห์หรือไม่  ซึ่งประเด็นแรกเป็นเรื่องที่โจทก์กล่าวอ้างขึ้นมา  จึงเป็นหน้าที่โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามนั้น  ส่วนประเด็นว่าทรัพย์ตามพินัยกรรมเป็นสินบริคณห์หรือไม่  เป็นประเด็นขั้นที่สอง  ซึ่งเมื่อโจทก์ต้องสืบประเด็นแรกซึ่งสำคัญก่อนแล้ว ศาลชั้นต้นจึงให้โจทก์สืบประเด็นข้อหลังด้วยในคราวเดียวกัน  ซึ่งย่อมทำได้  เพราะสะดวกแก่การพิจารณา  ไม่ต้องนำสืบกลับไปกลับมาให้ยุ่งยาก  ฉะนั้น  คำสั่งในเรื่องหน้าที่นำสืบของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว
โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า  จำเลยไปแจ้งขอรับมรดกต่อเจ้าหน้าที่อำเภอว่า  ที่นาพิพาทเป็นมรดกของนายเปล่ง  ไม่ได้แจ้งว่าจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย  และเจ้าหน้าที่ได้โอนให้จำเลยในทางเป็นมรดก  แล้วจำเลยจะมาสืบอ้างว่าจำเลยขอรับมรดกส่วนของนายเปล่งตามสิทธิของจำเลย  จึงเป็นเรื่องกรมธรรม์ปิดปากจำเลย  จำเลยจะสืบหักล้างไม่ได้นั้น  ศาลฎีกาเห็นว่า  คดีได้ความว่านายเปล่งได้ไปแจ้งการครอบครองที่พิพาททั้งสองแปลงตามแบบ ส.ค. ๑  (เอกสารหมาย จ.๗, จ. ๘)  ว่านายเปล่งเป็นเจ้าของ  ฉะนั้น  เมื่อนายเปล่งตาย  จำเลยจึงต้องปฏิบัติการโดยวิธีการขอรับมรดก  กรณีเช่นนี้หาใช่เป็นเรื่องกรมธรรม์ปิดปากดังฎีกาโจทก์ไม่  ทั้งจำเลยได้ให้การต่อสู้คดีไว้ว่า  ที่พิพาทเป็นสินบริคณห์  นายเปล่งไม่มีสิทธิเอาสินบริคณห์ส่วนของจำเลยไปทำพินัยกรรมยกให้โจทก์  เมื่อนายเปล่งตาย  จำเลยจึงขอโอนรับมรดก  จำเลยย่อมนำสืบเพื่อแสดงว่าทรัพย์นั้นเป็นสินบริคณห์ได้  ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน  ยกฎีกาโจทก์จำเลยทั้งสองฝ่าย

