คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 414/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกจับตัวผู้เสียหายไปควบคุมตัวไว้แล้วบังคับเอาเงินจากพ่อตาและภรรยาเพื่อสินไถ่ และเรียกผู้เสียหายคนอื่นอีก 6 คนมาหาว่าลักควายบังคับให้หาเงินมาให้จำเลยดังนี้ การกระทำในตอนแรกเป็นเรื่องจับตัวไปบังคับเรียกเอาค่าสินไถ่โดยตรง การกระทำในตอนหลังก็ไม่มีกริยาเป็นโจรชิงทรัพย์ตามความหมายของกฎหมายจึงไม่ใช่ความผิดฐานชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่า จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 301,270 แต่ให้รวมกระทงลงโทษตาม มาตรา270 ซึ่งเป็นบทหนักแต่บทเดียวโจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านประการใด ดังนี้
เมื่อศาลฎีกาคงเห็นว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 270ซึ่งเป็นบทหนักอยู่แล้ว แม้จะเห็นว่าจำเลยไม่ผิดตามมาตรา 301 ด้วย ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยมีผิดฐานใดอีก เพราะลงโทษบทหนักอยู่แล้ว
อัยการโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 301,270 กับขอให้จำเลยคืนหรือใช้ทรัพย์ถ้าศาลพิพากษาว่าจำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 301 แล้ว อัยการก็ไม่มีอำนาจเรียกเงินคืนแทนผู้เสียหาย

ย่อยาว

จำเลยกับพวกมีปืนเป็นศาสตราวุธไปจับตัวนายอุทาไปควบคุมตัวไว้แล้วบังคับเอาเงินจากนายหน่อพ่อตา และนางป้อภรรยานายอุทาเพื่อสินไถ่มิฉะนั้นจะฆ่านายอุทาเสีย นายหน่อ นางป้อ นำกระบือ 1 ตัว ราคา 200 บาทกับเงินอีก 100 บาทไปให้จำเลย ๆ จึงปล่อยนายอุทากลับบ้านแล้วจำเลยกับพวกได้เรียกนายมี นายไจ๋ นายอุด นายตา นางเฟยมาหากล่าวหาว่าลักควายเขากิน ถ้าไม่เอาเงินมาให้จะฆ่าเสียคนทั้งหกเกรงกลัวจึงหาเงินมาให้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 268, 270, 298, 299, 301 กับขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 270, 301 ให้รวมกระทงลงโทษจำเลยตามมาตรา 270 ซึ่งเป็นบทหนักให้จำคุก 15 ปี ลดตามมาตรา 272 เสีย 1 ใน 3 คงจำคุก 10 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,000 บาท

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่จับตัวนายอุทาไปเป็นเรื่องบังคับเรียกเอาค่าสินไถ่โดยตรงและการที่จำเลยเรียกผู้เสียหายอีก 6 คน ไปขู่บังคับให้หาเงินมาให้ก็ไม่มีกริยาเป็นโจรชิงทรัพย์ตามความหมายของกฎหมาย จำเลยจึงยังไม่ผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่จะมีความผิดฐานใดนั้นไม่เป็นปัญหาในชั้นฎีกา เพราะคดีศาลล่างพิพากษาต้องกันมาให้ลงโทษจำเลยในฐานบทหนักบทเดียวเท่านั้นซึ่งโจทก์มิได้ฎีกาขึ้นมา จึงวินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์อัยการไม่มีอำนาจเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนให้แก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 แต่ในการที่จำเลยกับนายอุทาไปหน่วงเหนี่ยวกักขังและเรียกเอาสินไถ่แล้วจึงปล่อยตัวไปนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 270 จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยไม่มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 301 ส่วนอัยการไม่มีอำนาจเรียกเงินคืนแทนผู้เสียหายนอกจากนี้คงยืน

Share