แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พินัยกรรมแบบธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1656ซึ่งผู้ทำพินัยกรรมลงลายพิมพ์นิ้วมือไว้ พยานรับรองพินัยกรรมโดยลงลายพิมพ์นิ้วมือย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1656 และ 1666
พินัยกรรมซึ่งผู้ทำพินัยกรรมลงลายพิมพ์นิ้วมือไว้ มีพยานรับรองพินัยกรรมสองคน คนหนึ่งลงลายพิมพ์นิ้วมือ อีกคนหนึ่งลงลายมือชื่อ และมี พ.ลงลายมือชื่อในฐานะผู้ปกครองท้องที่เมื่อปรากฏว่า พ. อยู่รู้เห็นการทำพินัยกรรมมาแต่ต้นจนกระทั่งผู้ทำพินัยกรรมลงลายพิมพ์นิ้วมือต่อหน้าพยานซึ่งลงลายมือชื่อรับรองพินัยกรรมที่สมบูรณ์คนหนึ่งแล้ว พ.จึงลงลายมือชื่อในฐานะผู้ปกครองท้องที่ แม้จะไม่ได้เขียนคำว่าพยานไว้ท้ายชื่อของ พ.ก็ถือได้ว่าพ.เป็นพยานรับรองพินัยกรรมอีกคนหนึ่งเพราะพยานในพินัยกรรมไม่จำต้องเขียนคำว่าพยานไว้ท้ายชื่อ เป็นแต่เพียงมีข้อความให้เห็นได้ว่าเป็นพยาน ก็ถือว่าเป็นพยานในพินัยกรรมแล้ว พินัยกรรมจึงสมบูรณ์ (อ้างฎีกาที่363/2492)
พยานที่ลงลายมือชื่อเป็นพยานในพินัยกรรมขณะทำพินัยกรรมไม่จำต้องลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำพินัยกรรมอีกหนหนึ่ง เพราะถือได้ว่าพยานทำหน้าที่สองฐานะคือ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 9,1665 และตามมาตรา 1656(อ้างฎีกาที่111/2497)
ฎีกาโจทก์ที่ว่าพินัยกรรมแบบธรรมดาจะต้องมีลายมือชื่อผู้เขียนกำกับไว้ และระบุด้วยว่าเป็นผู้เขียน ประเด็นดังกล่าวน่าจะต้องได้รับการวินิจฉัยโดยลึกซึ้ง เป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างใด เพียงแต่เสนอความเห็นว่าน่าจะต้องได้รับการวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ให้ลึกซึ้งเท่านั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นบุตรของนายบุตรและนางผาง นายบุตรตายก่อนส่วนนางผางตายเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2525 มีทรัพย์มรดก 7 อย่างเป็นที่ดินเรือนและยุ้งข้าว ขอให้พิพากษาแบ่งมรดกแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ทรัพย์มรดกของนางผาง โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งเนื่องจากนางผางทำพินัยกรรมยกทรัพย์บางอย่างตามฟ้องให้จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยท้าขอให้ศาลวินิจฉัยแต่เพียงว่าพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 ถูกต้องใช้ได้ตามกฎหมายหรือไม่ ถ้าพินัยกรรมถูกต้องมีผลใช้ได้ตามกฎหมายโจทก์ต้องแพ้คดีถ้าพินัยกรรมไม่ถูกต้องไม่มีผลตามกฎหมาย จำเลยต้องแพ้คดีโจทก์ยอมรับว่ามีการทำพินัยกรรมตามเอกสารหมาย ล.1 ดังที่จำเลยแถลงและโจทก์ยอมรับคำท้าของจำเลยที่จะให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่ท้ากันเพียงอย่างเดียวคู่ความยอมสละประเด็นอื่นเสียทั้งสิ้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พินัยกรรมฉบับพิพาทเอกสารหมาย ล.1 เป็นพินัยกรรมแบบธรรมดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 นอกจากนางผางลงลายพิมพ์นิ้วมือในฐานะผู้ทำพินัยกรรมแล้ว ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำพินัยกรรมลงนามในพินัยกรรมต่อไปตามลำดับ ดังนี้คือนางบุญมีลงลายพิมพ์นิ้วมือเป็นพยานรับรองพินัยกรรม นายสายลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองพินัยกรรม และนางเพ็งลงลายมือชื่อในฐานะผู้ปกครองท้องที่ในบรรทัดสุดท้ายของพินัยกรรมด้วยถึงแม้การลงลายพิมพ์นิ้วมือเป็นพยานรับรองพินัยกรรมของนางบุญมีะไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 และ 1666 ก็ตามถึงหากจะตัดนางบุญมีพยานรับรองพินัยกรรมออกไปเสียคนหนึ่ง พินัยกรรมนี้ก็ยังมีนางเพ็งลงลายมือชื่อในฐานะผู้ปกครองท้องที่อยู่อีกคนหนึ่ง ปัญหาวินิจฉัยต่อไปจึงมีว่านายเพ็งจะเป็นพยานในพินัยกรรมนี้ด้วยหรือไม่ เห็นว่า พินัยกรรมมีข้อความดังนี้คือ” ข้าพเจ้านางผาง ขอทำพินัยกรรมต่อหน้าผู้ปกครองท้องที่และพยานดังต่อไปนี้ ฯลฯ
ข้อ 3. ข้อความตามพินัยกรรมนี้ผู้เขียนได้อ่านให้ข้าฯ ฟังโดยตลอดแล้วเป็นการถูกต้องตรงกับความประสงค์ของข้าฯ ทุกประการ ขณะทำพินัยกรรมนี้ข้าฯมีสติสมบูรณ์ดีจึงลงชื่อไว้เป็นหลักฐานต่อหน้าพยานเป็นสำคัญ” ประกอบกับฎีกาของโจทก์เองก็รับว่านายเพ็งได้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้ปกครองท้องที่เป็นผู้รู้เห็นในการทำพินัยกรรมฉบับนี้มาแต่ต้น ดังนี้การที่นางเพ็งได้อยู่รู้เห็นการทำพินัยกรรมของนางผาง มาแต่ต้นจนกระทั่งนางผางลงลายพิมพ์นิ้วมือในฐานะผู้ทำพินัยกรรมต่อหน้านางสาย พยานรับรองพินัยกรรมที่สมบูรณ์คนหนึ่งแล้ว นางเพ็งจึงได้ลงลายมือชื่อของตนในฐานะผู้ปกครองท้องที่ไว้ในบรรทัดสุดท้ายของพินัยกรรมด้วย เช่นนี้แม้จะไม่ได้เขียนคำว่าพยานไว้ท้ายชื่อของนายเพ็งด้วย ก็ถือได้ว่านางเพ็งเป็นพยานรับรองพินัยกรรมอีกคนหนึ่ง เพราะพยานในพินัยกรรมนั้นไม่จำต้องเขียนคำว่าพยานไว้ท้ายชื่อ เป็นแต่เพียงมีข้อความให้เห็นได้ว่าเป็นพยาน ก็ถือว่าเป็นพยานในพินัยกรรม ในเมื่อพินัยกรรมฉบับนี้มีพยานครบถ้วนถูกต้องตามกฎหมาย 2 คน คือ นายสายกับนายเพ็ง โดยพยาน 2 คนนี้ ลงลายมือชื่อเป็นพยานขณะนางผางทำพินัยกรรมจึงไม่จำต้องลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของนางผางอีกหนหนึ่งเพราะถือได้ว่าพยานทำหน้าที่สองฐานะคือ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 9, 1665และตามมาตรา 1656 ดังนั้นพินัยกรรมเอกสารหมาย ล.1 จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย
ส่วนฎีกาโจทก์ในข้อที่ว่า โจทก์เป็นฝ่ายรับคำท้าแต่ไม่ได้รับรองว่ามีการทำพินัยกรรมจริงหรือไม่นั้น ปัญหาข้อนี้ โจทก์เพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาจึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง และฎีกาของโจทก์ข้อสุดท้ายที่ว่าพินัยกรรมแบบธรรมดาจะต้องมีลายมือชื่อผู้เขียนกำกับไว้และระบุด้วยว่าเป็นผู้เขียน ดังนั้นประเด็นดังกล่าวน่าจะต้องได้รับการวินิจฉัยโดยลึกซึ่ง นั้น ก็เป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้าน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างใด เพียงแต่เสนอความเห็นว่าน่าจะต้องได้รับการวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ให้ลึกซึ่งเท่านั้นเองเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ฉะนั้น ฎีกาของโจทก์ทั้งสองข้อนี้จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ดังนั้นเมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่าพินัยกรรมของนางผาง ป่าหญ้า เอกสารหมาย ล.1สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1656 มีผลใช้บบังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสี่จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า
พิพากษายืน