คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4135/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเอาความเท็จมากล่าวอ้างกับโจทก์ว่า โจทก์เป็นหนี้ค่าโฆษณาสินค้าแก่บริษัท ม.โจทก์หลงเชื่อจึงได้ออกเช็คมอบให้จำเลยที่ 1 เพื่อนำไปชำระหนี้ให้บริษัท ม. แต่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินเป็นของจำเลยที่ 1 พอเข้าใจได้ว่า จำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์โจทก์หลงเชื่อจึงได้ออกเช็คชำระหนี้ให้แก่บริษัท ม. โดยมอบเช็คให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อนำไปมอบให้บริษัท ม. แต่จำเลยที่ 1 ได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินเป็นของจำเลยที่ 1 เสียเอง เป็นการบรรยายว่าจำเลยที่ 1 เอาไปเสียซึ่งเช็คของโจทก์ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 แล้ว ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188, 335(7), 83, 90
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 จำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยที่ 2 เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ส่วนปัญหาว่า ฟ้องโจทก์ขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 เป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องมีใจความว่าจำเลยทั้งสองบังอาจสมคบกันมีเจตนาทุจริตเอาความเท็จมากล่าวอ้างกับโจทก์โดยนายสถิตย์ กาญจนวิสิษฐผลกรรมการผู้จัดการว่า โจทก์เป็นหนี้ค่าโฆษณาสินค้าแก่บริษัทเมเจอร์โปรโมชั่น จำกัด โจทก์โดยนายสถิตย์ กาญจนวิสิษฐผลหลงเชื่อจึงได้ออกเช็คของโจทก์สั่งจ่ายเงิน 123,500 บาท มอบให้จำเลยที่ 1 เพื่อนำไปมอบให้บริษัทเมเจอร์โปรโมชั่น จำกัด เพื่อชำระหนี้ค่าโฆษณาสินค้า แต่ต่อมาปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันมีเจตนาทุจริต บังอาจนำเอาเช็คดังกล่าวของโจทก์ไปเรียกเก็บเงินเป็นของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์เสียหาย เป็นเงิน 123,500 บาทการบรรยายฟ้องของโจทก์เช่นนี้ พอเข้าใจได้ว่า จำเลยที่ 1หลอกลวงโจทก์ว่าโจทก์เป็นหนี้ค่าโฆษณาสินค้าแก่บริษัทเมเจอร์โปรโมชั่น จำกัด ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงโจทก์ไม่ได้เป็นหนี้ค่าโฆษณาสินค้า โจทก์หลงเชื่อจึงได้มอบเช็คชำระหนี้ให้แก่บริษัทเมเจอร์โปรโมชั่น จำกัด โดยมอบเช็คให้แก่จำเลยที่ 1เพื่อนำไปมอบให้แก่บริษัทเมเจอร์โปรโมชั่น จำกัด แต่จำเลยที่ 1ได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินเป็นของจำเลยที่ 1 เสียเองเป็นการบรรยายว่าจำเลยที่ 1 เอาไปเสียซึ่งเช็คของโจทก์ในประการท่าน่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ซึ่งครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 แล้วฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไปว่า คดีโจทก์ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์ฟ้องไม่ได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share