คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4133/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามทางไต่สวนผู้คัดค้านนำสืบไม่ได้ว่าทรัพย์สินที่ผู้ร้องขอให้ริบผู้คัดค้านเป็นเจ้าของที่แท้จริง กลับนำสืบเองว่าเป็นทรัพย์สินของ ณ. และ ว. ซึ่ง ณ. และ ว. ไม่ได้ยื่นคำร้องคัดค้านและขอคืนทรัพย์สินดังกล่าวด้วยตนเอง แม้ผู้คัดค้านจะเป็นบิดาของ ณ. และสามีของ ว. ก็ไม่อาจขอคืนทรัพย์สินแทนได้ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 29 (1)

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้คำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์สินดังกล่าวให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 27, 29, 31
ศาลชั้นต้นได้สั่งให้ประกาศในหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายแล้ว
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องและคืนทรัพย์สินแก่ผู้คัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบเงินสด 10,500 บาท โทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อโนเกีย รุ่น 6230 จำนวน 1 เครื่อง โทรศัพท์เคลื่อนที่ ยี่ห้อไดสตาร์ รุ่น ดี 99 จำนวน 1 เครื่อง รถบรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน บต 8648 ลำพูน เงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาลำพูน บัญชีเลขที่ 511-2-13353-8 เงินฝากในบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาแม่สอด บัญชีเลขที่ 604-6-04019-1 เงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาฝาง บัญชีเลขที่ 062-4-02636-5 ที่ดินโฉนดเลขที่ 73708 ตำบลต้นธง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 120 ตำบลต้นธง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 182 และเลขที่ 625 ตำบลต้นธง อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน ทรัพย์สินรายการที่ 1 ถึง 3 รายการที่ 20 และรายการที่ 23 ถึง 28 ตามคำร้องของผู้ร้อง ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 29, 31 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่ให้ริบทรัพย์ของผู้คัดค้านชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามอุทธรณ์ของผู้ร้องโต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง และขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาริบทรัพย์สินของผู้คัดค้านรวม 26 รายการ ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาให้ริบทรัพย์สินรายการที่ 1 ถึงที่ 3 รายการที่ 20 และรายการที่ 23 ถึง 28 ตามคำร้องของผู้ร้องโดยไม่รวมรถยนต์ตามทรัพย์สินรายการที่ 21และที่ 22 ของนางสาวณัฐกานต์ และนางกัลยา จึงมิใช่การพิพากษาเกินคำฟ้องอุทธรณ์ของผู้ร้อง หรือเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชัดแจ้ง การพิจารณาและพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงเป็นไปโดยชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านประการสุดท้ายว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินรายการที่ 26 ซึ่งกรมที่ดินได้เดินสำรวจและออกเป็นโฉนดที่ดินแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ รายการที่ 24 และที่ 25 ระหว่างที่ดินดังกล่าวจำนองไว้กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาลำพูน ซึ่งต่อมามีการบังคับจำนองและขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว และมีบุคคลภายนอกซื้อทอดตลาดที่ดินดังกล่าวไปแล้วจึงไม่อยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 ทั้งผู้ร้องมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในประเด็นนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 หยิบยกขึ้นวินิจฉัยและมีคำพิพากษาไป จึงเป็นการพิจารณาพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นนั้น เห็นว่าปัญหาตามฎีกาของผู้คัดค้านในข้อนี้เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง สำหรับทรัพย์สิน รายการที่ 4 ถึงที่ 19 ซึ่งผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและขอให้ริบให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 27, 29 และ 31 ศาลชั้นต้นได้ประกาศทางหนังสือพิมพ์ตามกฎหมายแล้ว มีผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านเพียงคนเดียวว่าเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านซึ่งได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายจากการประกอบอาชีพโดยสุจริตไม่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ซึ่งตามมาตรา 29 (1) บัญญัติให้ผู้คัดค้านซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริง และทรัพย์สินนั้นไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ตามทางไต่สวนผู้คัดค้านนำสืบไม่ได้ว่าทรัพย์สินดังกล่าว ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของที่แท้จริง แต่กลับนำสืบเองว่าเป็นทรัพย์สินของนางสาวณัฐกานต์ บุตรสาวของ ผู้คัดค้าน และนางวัฒนา ภริยาของผู้คัดค้าน ซึ่งทั้งนางสาวณัฐกานต์และนางวัฒนาไม่ได้ยื่นคำร้องคัดค้านและขอคืนทรัพย์สินดังกล่าวตามมาตรา 29 ด้วยตนเอง แม้ผู้คัดค้านจะเป็นบิดาของนางสาวณัฐกานต์และสามีของนางวัฒนาก็ไม่อาจขอคืนทรัพย์สินแทนได้ เมื่อผู้คัดค้านไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินดังกล่าว ทรัพย์สินดังกล่าวจึงต้องตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่าให้ริบทรัพย์สินรายการที่ 1 ถึงที่ 3 และรายการที่ 20 ถึงที่ 26 แต่ยังคงยืนตามศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องในส่วนนี้จึงไม่ชอบ แม้ผู้ร้องจะไม่ฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนในการพิจารณาคดีและการพิจารณาพยานหลักฐาน ศาลฎีกาเห็นสมควรมีคำสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น และมีคำสั่งใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง เป็นว่าให้ริบทรัพย์สิน รายการที่ 4 ถึงที่ 19 ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบทรัพย์สิน รายการที่ 4ถึงที่ 19 ให้ตกเป็นของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

Share