คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4132/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ก่อนสืบพยานโจทก์ปากผู้เสียหาย ทนายจำเลยแถลงว่า ขณะสืบพยานโจทก์ปาก ว. ผู้เสียหายนั่งอยู่ในห้องพิจารณา ทำให้ฝ่ายจำเลยเสียเปรียบ ขอคัดค้านการสืบพยานปากผู้เสียหาย ตามที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณา และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์นำพยานปากผู้เสียหายเข้าสืบโดยยังไม่ได้จดรายงานกระบวนพิจารณาดังที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่ก็มิใช่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 เพราะกรณีดังกล่าวเท่ากับศาลชั้นต้นได้พิจารณาข้อคัดค้านของทนายจำเลยแล้วจึงอนุญาตให้โจทก์นำพยานปากผู้เสียหายเข้าสืบและบันทึกเหตุผลในการอนุญาตไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาหลังจากที่ดำเนินกระบวนพิจารณาในวันนั้นเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งเมื่อยังไม่ปรากฏว่าพยานปากผู้เสียหายเบิกความเป็นที่เชื่อฟังได้หรือไม่ ก็ต้องให้ผู้เสียหายเบิกความไปก่อนเพื่อศาลจะได้ใช้ดุลพินิจในการรับฟังคำเบิกความดังกล่าวว่าเป็นการผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 114 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 หรือไม่ต่อไป แม้ตามบทบัญญัติดังกล่าวมิได้เป็นการบังคับมิให้ศาลรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายซึ่งได้ฟังคำเบิกความของ ว. แล้วก็ตาม แต่หากปรากฏว่าคำเบิกความของผู้เสียหายอาจเปลี่ยนแปลงไปโดยฟังคำเบิกความของ ว. พยานคนก่อนหรือสามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้ คำเบิกความของผู้เสียหายก็เป็นการผิดระเบียบไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 336, 336 ทวิ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 11,770 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 จำคุก 6 ปี ให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 11,770 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลย 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อทนายจำเลยแถลงคัดค้านการสืบพยานโจทก์ปากผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นต้องวินิจฉัยในประเด็นที่ว่าสมควรอนุญาตให้ผู้เสียหายเบิกความหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเบิกความและจดคำเบิกความจนเสร็จสิ้นแล้วจึงจดรายงานกระบวนพิจารณาจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และการที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังคำเบิกความของพันตำรวจโทวุฒิภัทร และผู้เสียหายเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 114 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เห็นว่า แม้ก่อนสืบพยานโจทก์ปากผู้เสียหาย ทนายจำเลยจะแถลงว่า ขณะสืบพยานโจทก์ปากพันตำรวจโทวุฒิภัทร ผู้เสียหายนั่งอยู่ในห้องพิจารณา ทำให้ฝ่ายจำเลยเสียเปรียบ ขอคัดค้านการสืบพยานปากผู้เสียหาย และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์นำพยานปากผู้เสียหายเข้าสืบโดยยังไม่ได้จดรายงานกระบวนพิจารณาดังที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่ก็มิใช่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เพราะกรณีดังกล่าวเท่ากับศาลชั้นต้นได้พิจารณาข้อคัดค้านของทนายจำเลยแล้วจึงอนุญาตให้โจทก์นำพยานปากผู้เสียหายเข้าสืบและบันทึกเหตุผลในการอนุญาตไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาหลังจากที่ดำเนินกระบวนพิจารณาในวันนั้นเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งเมื่อยังไม่ปรากฏว่าพยานปากผู้เสียหายเบิกความเป็นที่เชื่อฟังได้หรือไม่ ก็ต้องให้ผู้เสียหายเบิกความไปก่อนเพื่อศาลจะได้ใช้ดุลพินิจในการรับฟังคำเบิกความว่าเป็นการผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 114 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 หรือไม่ต่อไป แม้ตามบทบัญญัติดังกล่าวจะมิได้เป็นการบังคับมิให้ศาลรับฟังคำเบิกความของผู้เสียหายซึ่งได้ฟังคำเบิกความของพันตำรวจโทวุฒิภัทรแล้วก็ตาม แต่หากปรากฏว่าคำเบิกความของผู้เสียหายอาจเปลี่ยนแปลงไปโดยฟังคำเบิกความของพันตำรวจโทวุฒิภัทร พยานคนก่อน หรือสามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้ คำเบิกความของผู้เสียหายก็เป็นการผิดระเบียบ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ แต่เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของผู้เสียหายแล้วปรากฏว่าผู้เสียหายเบิกความโดยรู้เห็นเหตุการณ์ขณะเกิดเหตุว่า เวลาประมาณ 20 นาฬิกา ขณะผู้เสียหายอยู่ที่ร้าน มีรถยนต์กระบะสีดำ จำหมายเลขทะเบียนแน่นอนไม่ได้ แต่ตัวเลขมี 4 ตัว จำได้ 2 ตัวกลาง คือ 11 มาจอดหน้าร้านของผู้เสียหาย คนนั่งที่เบาะซ้ายเปิดประตูรถลงมาขอซื้อสุราขาว ผู้เสียหายขายให้ไปในราคา 23 บาท ขณะนั้นคนร้ายส่งเงินให้ผู้เสียหาย 20 บาท เป็นค่าสุรา และทำท่าล้วงกระเป๋าเอาเงินอีก 3 บาท ทันใดนั้นได้ใช้มือกระชากสร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง พร้อมพระแก้วมรกตเลี่ยมทองของผู้เสียหายไป หลังจากนั้นคนร้ายวิ่งหนีไปขึ้นรถยนต์กระบะที่จอดอยู่หลบหนีไป โจทก์ให้ผู้เสียหายดูจำเลยในห้องพิจารณาแล้วถามว่าจำเลยคือคนร้ายที่ก่อเหตุหรือไม่ ผู้เสียหายเบิกความว่า ลักษณะ อายุ ส่วนสูง รูปร่างใกล้เคียงกับคนร้าย แต่ในส่วนผมนั้น คนร้ายจะผมยาวกว่าจำเลย หลังเกิดเหตุผู้เสียหายไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ พร้อมแจ้งตำหนิรูปพรรณของคนร้ายให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบ ต่อมาประมาณ 1 อาทิตย์ เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งว่าสามารถจับกุมคนร้ายมีลักษณะใกล้เคียงกับที่ก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์จึงแจ้งให้ผู้เสียหายไปดูตัวคนร้ายซึ่งมีการจัดให้ชี้ตัวคนร้ายด้วย ผู้เสียหายชี้ตัวและยืนยันว่าบุคคลในลำดับที่ 5 คือคนร้ายซึ่งมีการถ่ายรูปขณะชี้ตัวและมีการจัดทำบันทึกไว้ด้วย นอกจากนี้เจ้าพนักงานตำรวจยังให้ผู้เสียหายดูรถยนต์ของกลางที่ยึดได้ ซึ่งเป็นรถยนต์ที่มีลักษณะสีใกล้เคียงและป้ายหมายเลขทะเบียนมีเลข 1 สองตัวอยู่ตรงกลาง ตรงตามที่จำได้ในวันเกิดเหตุ จึงชี้ยืนยันรถยนต์ ส่วนพันตำรวจโทวุฒิภัทรไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุและเบิกความถึงการสืบสวนจนทราบว่ามีคนร้ายใช้รถยนต์กระบะสีดำหมายเลขทะเบียน บต และเลข 11 เป็นยานพาหนะในการก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์และปล้นทรัพย์ โดยผู้ก่อเหตุเป็นชายอายุ 30 ปีเศษ และผู้หญิงผิวขาว รูปร่างท้วม ต่อมาพบรถยนต์คันดังกล่าวจอดอยู่ที่หน้าโรงงานในจังหวัดชลบุรี โดยมีนางรัตนาวลีและนายสิทธิชัย เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ จึงจับกุมและสอบถามทราบว่ามาหาจำเลย จึงเชิญตัวจำเลยมาพบ กับเบิกความถึงการจัดให้ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยและรถยนต์ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเท่านั้น ดังนี้ ผู้เสียหายและพันตำรวจโทวุฒิภัทร จึงไม่ได้เป็นพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ร่วมกันและจดจำคนร้ายได้ในขณะเกิดเหตุ แม้ผู้เสียหายและพันตำรวจโทวุฒิภัทรจะรู้เห็นร่วมกันในการชี้ตัวจำเลยและรถยนต์ของกลางที่ยึดได้ แต่การที่ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยและรถยนต์ของกลางที่ยึดได้เกิดจากความจำของผู้เสียหายเอง และมีการทำบันทึกผลการชี้ตัวผู้ต้องหาและถ่ายรูปการชี้ตัวผู้ต้องหาและรถยนต์ของกลางไว้ด้วยเช่นนี้ คำเบิกความของผู้เสียหายเกี่ยวกับการจดจำคนร้ายได้ในขณะเกิดเหตุจึงมิได้เปลี่ยนแปลงไปโดยฟังคำเบิกความของพันตำรวจโทวุฒิภัทรพยานคนก่อน และไม่สามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้ อันจะเป็นคำเบิกความที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 114 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share