แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาพยายามข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้าย พฤติการณ์ของจำเลยที่ใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้เสียหายก็เพียงเพื่อให้ผู้เสียหายเกรงกลัวและยอมให้จำเลยข่มขืนกระทำชำเรา อันเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้ายตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80 ดังนั้น เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาพยายามข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้ายจึงย่อมมีผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในข้อหาทำร้ายร่างกายระงับไปด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 340 ตรี กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 180 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 335 (1) (ที่ถูก 335 (1) วรรคแรก) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานทำร้ายร่ายกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ จำคุก 1 ปี และฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน จำคุก 1 ปี รวมเป็นจำคุก 2 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ (ที่ถูกกระทงละหนึ่งในสี่) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน กับให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 180 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องความผิดฐานทำร้ายร่างกายคงลงโทษจำคุกจำเลยฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนมีกำหนด 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เดิมผู้เสียหายร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ โดยใช้ยานพาหนะ พยายามข่มขืนกระทำชำเราและกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย ต่อมาผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาพยายามข่มขืนกระทำชำเราและกระทำอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับข้อหาดังกล่าวจึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) โจทก์จึงฟ้องจำเลยเฉพาะข้อหาชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจโดยใช้ยานพาหนะ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจและฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและให้ยกฟ้องความผิดฐานทำร้ายร่างกาย สำหรับความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาพยายามข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้ายมีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานทำร้ายร่างกายระงับไปด้วยหรือไม่ เห็นว่า จากคำเบิกความของผู้เสียหายและบันทึกคำให้การของผู้เสียหาย พฤติการณ์ของจำเลยที่ใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้เสียหายก็เพียงเพื่อทำให้ผู้เสียหายเกรงกลัวและยอมให้จำเลยข่มขืนกระทำชำเรา อันเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80 ดังนั้น เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ในข้อหาพยายามข่มขืนกระทำชำเราโดยใช้กำลังประทุษร้ายจึงย่อมมีผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในข้อหาทำร้ายร่างกายระงับไปด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน