แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามบทบัญญัติของมาตรา 40 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 ซึ่งบัญญัติว่าถ้าที่ดินและโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ เป็นของคนละเจ้าของ เจ้าของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆต้องเสียภาษีทั้งสิ้น ฯลฯ นั้น เป็นการกำหนดว่าหากที่ดินและโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างเป็นของคนละเจ้าของกันแล้ว เป็นหน้าที่ของเจ้าของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินรวมกันแต่เมื่อค่าเช่าที่โจทก์ได้รับจากห้างหุ้นส่วนจำกัดช. เป็นการให้เช่าสถานีบริการ รวมทั้งที่ดินที่ใช้ต่อเนื่องกับสถานีบริการแสดงว่าเงินค่าเช่าจำนวนดังกล่าวเป็นค่าเช่าสถานีบริการและเช่าที่ดินรวมกันแล้ว การที่โจทก์ในฐานะเจ้าของโรงเรือนซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีโรงเรือนได้เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินรวมกันมา จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า การแจ้งประเมินและการกำหนดค่ารายปี544,733.33 บาท ของจำเลยไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายขอให้เพิกถอนใบแจ้งรายการประเมินเล่มที่ 54 เลขที่ 10ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2538 และใบแจ้งคำชี้ขาดเล่มที่ 19เลขที่ 52 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2539 และถ้าศาลเห็นว่าไม่สมควรเพิกถอนก็ขอให้พิพากษาแก้ไขใบแจ้งการประเมินและคำชี้ขาดโดยกำหนดค่ารายปีใหม่เป็นเงิน 396,900 บาท ค่าภาษีจำนวน 49,612.50 บาท ให้จำเลยคืนเงินภาษีจำนวน 18,484.17 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระแก่โจทก์ครบถ้วน
จำเลยให้การว่า การกำหนดค่ารายปีและการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ตลอดจนการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขการประเมินตามใบแจ้งการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน เล่มที่ 54 เลขที่ 10ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2538 และใบแจ้งคำชี้ขาด เล่มที่ 19เลขที่ 52 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2539 และให้จำเลยคืนเงินภาษีจำนวน 18,484.17 บาท ภายในสามเดือนนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด หากไม่คืนภายในกำหนดดังกล่าวให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงิน 18,484.17 บาทนับถัดจากวันครบกำหนดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่าเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 โจทก์ได้ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 1 ถึง 3โดยระบุรายละเอียดว่า ได้รับค่าเช่าจากห้างหุ้นส่วนจำกัดชัยชนะบริการ จำนวน 343,440 บาท และระบุชื่อเจ้าของที่ดินและค่าเช่าที่ดินปีละ 201,333.33 บาท พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยทำการประเมินโดยนำค่าเช่าที่ดินจำนวน 201,333.33 บาทรวมกับค่าเช่าที่โจทก์ได้รับจำนวน 343,440 บาท มากำหนดเป็นค่ารายปีจำนวน 544,773.33 บาท ค่าภาษีจำนวน 68,096.67 บาทตามใบแจ้งรายการประเมินเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 1 โจทก์ชำระค่าภาษีดังกล่าวแล้วได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโดยปลัดกรุงเทพมหานครปฏิบัติราชการแทนได้ชี้ขาดเห็นชอบด้วยกับการประเมินของเจ้าหน้าที่ตามใบแจ้งคำชี้ขาด เอกสารหมาย ล.6 แผ่นที่ 5 ศาลภาษีอากรกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เงินจำนวน 343,440 บาท ที่โจทก์แสดงไว้ในแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี 2538เป็นค่าเช่าที่โจทก์ได้รับจากห้างหุ้นส่วนจำกัดชัยชนะบริการในการให้เช่าสถานีบริการรวมทั้งที่ดินที่ใช้ต่อเนื่องกับสถานีบริการ
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2538 และคำชี้ขาดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่โดยจำเลยอุทธรณ์ว่าผู้เป็นเจ้าของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างกับผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินในคดีนี้เป็นคนละเจ้าของกัน โดยโจทก์เป็นเจ้าของสถานีบริการ ส่วนนางปริยาวดี วัดแก้ว กับนางจันทนา ธีระธาดา เป็นเจ้าของที่ดินดังนั้น คดีจึงต้องด้วยบทบัญญัติของมาตรา 40 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ซึ่งบัญญัติว่าแต่ถ้าที่ดินและโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ เป็นของคนละเจ้าของ เจ้าของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ต้องเสียภาษีทั้งสิ้น ฯลฯ นั้นเห็นว่า ตามบทบัญญัติดังกล่าวเป็นการกำหนดว่าหากที่ดินและโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างเป็นของคนละเจ้าของกันแล้วเป็นหน้าที่ของเจ้าของโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินรวมกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่าค่าเช่าที่โจทก์ได้รับจากห้างหุ้นส่วนจำกัดชัยชนะบริการเป็นการให้เช่าสถานีบริการ รวมทั้งที่ดินที่ใช้ต่อเนื่องกับสถานีบริการแสดงว่าเงินค่าเช่าจำนวน 343,440 บาท เป็นค่าเช่าสถานีบริการและเช่าที่ดินรวมกันแล้ว การที่โจทก์ในฐานะเจ้าของโรงเรือนซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีโรงเรือนได้เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินรวมกันมาแล้ว จึงเป็นการชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การประเมินของพนักงานเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินและคำชี้ขาดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน