คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4126/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เช่าสถานที่จากจำเลยโดยจำเลยเรียกเงินกินเปล่าจำนวน220,000 บาท โจทก์ชำระให้ไปก่อน 110,000 บาท ต่อมาเจ้าของที่ดินที่แท้จริงให้โจทก์ออกจากที่เช่า โจทก์จึงบอกเลิกสัญญากับจำเลยและไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจกล่าวหาว่า จำเลยฉ้อโกงเงินจำนวน 110,000 บาทจำเลยจึงตกลงจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้โจทก์โดยแบ่งชำระเป็นงวด หากผิดสัญญาจำเลยยินดีให้โจทก์ฟ้องบังคับคดีได้ พนักงานสอบสวนได้ทำบันทึกและให้โจทก์จำเลยลงชื่อไว้ บันทึกนี้จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความในทางแพ่ง ต่อมาถึงวันที่จำเลยต้องชำระเงินงวดแรก โจทก์จำเลยไปพบพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจแต่ตกลงกันไม่ได้ โจทก์แจ้งให้ดำเนินคดีกับจำเลยและขอถอนข้อตกลงทั้งหมดโดยพนักงานสอบสวนบันทึกไว้ ส่วนจำเลยก็ขอให้บันทึกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความเช่นกันตามพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า คู่กรณีมีเจตนายกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยชัดแจ้งแล้ว แม้โจทก์จำเลยต่างลงลายมือชื่อเฉพาะในบันทึกของตนแยกจากกันก็ตาม ความผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยก็เป็นอันสิ้นไป โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ตามสัญญาดังกล่าวไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2530 โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินจากจำเลยเพื่อสร้างเป็นร้านขายอาหารและที่อยู่อาศัยกำหนดค่าเช่าเป็นเงิน 220,000 บาท ได้วางมัดจำไว้จำนวน 110,000บาท โจทก์สำคัญผิดว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ความจริงที่ดินเป็นของบุคคลอื่น ต่อมาเจ้าของที่ดินที่แท้จริงแจ้งให้โจทก์ออกจากที่ดิน โจทก์จึงทราบว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์และโจทก์ต้องออกจากที่ดินไป โจทก์จึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าพนักงานสอบสวน โจทก์จำเลยยอมชดใช้เงินมัดจำจำนวน 110,000 บาทคืนแต่จำเลยก็ไม่คืนให้ตามที่ตกลง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ตกลงเช่าบ้านและร้านอาหารของจำเลยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของนายพยงค์ อุปพันธุ์ โดยโจทก์ทราบดีอยู่แล้วในการเช่านี้โจทก์ตกลงชำระเงินกินเปล่าให้จำเลย 220,000 บาท และค่าเช่าเดือนละ 1,300 บาท วางมัดจำไว้110,000 บาท ส่วนที่เหลือจะชำระในวันเปิดร้านอาหาร ครั้นถึงกำหนดโจทก์ก็ผัดผ่อนเรื่อยมา และไม่ชำระในที่สุดโจทก์ได้ยุยงให้เจ้าของที่ดินขับไล่จำเลย และอาศัยเหตุนี้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยฉ้อโกงเพื่อขอเงินมัดจำคืน จำเลยตกลงจะคืนให้จำนวน 83,700 บาท ครั้นถึงกำหนดชำระเงินคืนโจทก์กลับนำพวกไปทำลายและลักทรัพย์จากร้านของจำเลยไป ดังนั้นในวันที่ 2 มีนาคม 2524 จำเลยจึงขอถอนข้อตกลงที่จะคืนเงินให้โจทก์และขอริบเงินมัดจำ โจทก์ก็ขอถอนข้อตกลงเดิมเช่นกันขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินโจทก์ 110,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 2มีนาคม 2524 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงินตามฟ้องจากจำเลยคืนได้หรือไม่โจทก์เบิกความว่าโจทก์ได้เช่าสถานที่ของจำเลยเปิดเป็นร้านขายอาหารและที่พักอาศัย จำเลยเรียกเงินกินเปล่า (ค่าเซ้ง)220,000 บาท โจทก์ชำระให้จำเลยแล้วจำนวน 110,000 บาท ต่อมานายพยงค์ อุปพันธุ์ เจ้าของที่ดินให้ทนายความมีหนังสือบอกกล่าวให้โจทก์ออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่า โจทก์จึงทราบว่าที่ดินมิใช่ของจำเลย โจทก์ออกไปจากสถานที่ที่เช่าและบอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้วไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนนทบุรีเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2524 กล่าวหาว่าจำเลยฉ้อโกงเงินจำนวน 110,000 บาท ในวันเดียวกันนี้จำเลยได้มาตกลงจะจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวคืนให้โจทก์ โดยขอแบ่งชำระเป็น 2 งวด งวดแรกวันที่ 2 มีนาคม 2524 เป็นเงิน 40,000 บาท ที่เหลือ 70,000 บาทจะชำระวันที่ 16 เดือนเดียวกัน ตามบันทึกของพนักงานสอบสวนโดยโจทก์และจำเลยลงลายมือชื่อไว้ด้วยตามเอกสารหมาย จ.2แต่จำเลยไม่ชำระเงินดังกล่าวให้โจทก์ตามกำหนด ตอนท้ายเอกสารดังกล่าวมีข้อความชัดว่า หากผิดสัญญาจำเลยยินดีให้โจทก์ฟ้องบังคับคดีได้ เห็นว่าตามบันทึกนี้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความในทางแพ่ง ซึ่งคู่กรณีได้แสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้งโดยจำเลยยอมจะชำระเงินจำนวน 110,000 บาท ที่รับไว้จากโจทก์คืนให้โจทก์ถ้าจำเลยผิดสัญญายอมให้โจทก์ฟ้องบังคับคดีได้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2524ซึ่งเป็นวันที่จำเลยต้องชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความงวดแรก จำเลยไม่ยอมชำระอ้างว่าโจทก์ผิดสัญญาที่ตกลงกันไว้ได้ความจากนายเอกวัจน์ เลขสิทธิ ทนายจำเลยซึ่งมาเบิกความเป็นพยานจำเลยว่า ในวันดังกล่าวเวลาประมาณ 10 นาฬิกา พยานพร้อมด้วยจำเลย และนายชูศักดิ์สามีจำเลยได้ไปพบร้อยตำรวจโทวัชรชัย ศรีสมสอง พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนนทบุรีได้พบโจทก์กับพวกอยู่ที่สถานีตำรวจด้วย ร้อยตำรวจโทวัชรชัยให้โจทก์จำเลยเจรจากันเอง โจทก์จะขอเงินคืน 20,000 บาทแต่จำเลยไม่ยอมโดยอ้างว่าต้องชดใช้ค่าสินค้าที่โจทก์ค้างชำระอีกหลายหมื่นบาทจึงไม่ตกลงกัน โจทก์แจ้งตำรวจให้ดำเนินคดีกับจำเลย และขอถอนข้อตกลงทั้งหมด พนักงานสอบสวนจึงเรียกโจทก์และจำเลยไปทำบันทึกข้อตกลงตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2เป็นอันว่าทั้งสองฝ่ายตกลงยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความกันแล้ว ได้ความจากร้อยตำรวจโทวัชรชัยพยานโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2524 โจทก์ขอให้ดำเนินคดีกับจำเลยฐานฉ้อโกงพยานได้บันทึกคำให้การโจทก์ไว้ตามเอกสารหมาย ล.2 และจำเลยขอให้บันทึกขอเลิกสัญญาประนีประนอมต่อท้ายคำให้การเอกสารหมาย ล.1 ในวันเดียวกันนั้น เห็นว่า ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าคู่กรณีมีเจตนายกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยชัดแจ้งแล้ว แม้ตามบันทึกตอนท้ายของเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2ซึ่งพนักงานสอบสวนบันทึกไว้เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2524 ซึ่งโจทก์จำเลยต่างลงลายมือชื่อเฉพาะในบันทึกคำให้การของตน อันเป็นการแสดงเจตนาของแต่ละฝ่ายที่ให้ไว้แก่พนักงานสอบสวนแม้จะไม่ปรากฏว่าคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้ลงลายมือชื่อสนองรับเจตนาด้วยก็ตามก็แสดงว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงกันยกเลิกสัญญาประนีประนอมยอมความตามเอกสารหมาย จ.2 แล้ว ความผูกพันตามสัญญาประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยเป็นอันสิ้นไป โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์ตามสัญญาดังกล่าวอีกไม่ได้ ฎีกาของจำเลยข้ออื่นไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share