คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4121/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า การที่ จ. ยักยอกเงินไปได้เป็นเพราะจำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่วางระเบียบการเก็บรักษาเงินและเบิกจ่ายเงินเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดฉวยโอกาสเอาเงินไปใช้ส่วนตัว ได้ละเลยไม่วางข้อกำหนดการเบิกจ่ายเงินจากธนาคารอย่างเช่นผู้อื่นพึงปฏิบัติคือยินยอมให้ จ. เบิกเงินของทางราชการไปได้ ดังนี้คำฟ้องโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดแล้วว่าความประมาทเลินเล่อของจำเลย ที่ 1 คือ การไม่วางข้อกำหนดหรือระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากธนาคารตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้ จ. เบิกเงินของทางราชการไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวได้ ทั้งจำเลยที่ 1 ได้ให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยที่ 1ไม่ต้องรับผิดเพราะไม่มีอำนาจหน้าที่กำหนดระเบียบการเก็บรักษาเงินและการเบิกจ่ายเงิน การที่ จ. ยักยอกเงินไปได้มิใช่เพราะข้อกำหนดหรือระเบียบบกพร่องและมิใช่เพราะจำเลย ที่ 1 ยินยอมให้จ. เบิกเงินจากธนาคารได้แต่อย่างใดแต่เป็นเพราะเหตุอื่นซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 1 ก็เข้าใจข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาดีจึงให้การกล่าวแก้เช่นนั้น ส่วนข้อกำหนดการเบิกจ่ายเงินจะต้องวางอย่างไรและการที่จำเลยที่ 1 มิได้วางข้อกำหนดดังกล่าวเป็นเหตุให้จ. ยักยอกเงินไปได้อย่างไรเป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการรับเงินจะต้องปฏิบัติตามระเบียบร่วมกับ จ. ให้เสร็จสิ้นทุกขั้นตอน จนถึงการโอนเงินเข้าบัญชีที่ธนาคารและจัดเก็บเอกสารให้ถูกต้องตามระเบียบการที่จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมปฏิบัติหน้าที่ในบางขั้นตอนและจำเลย ที่ 3มิได้จัดการเกี่ยวกับเอกสารการโอนเงินให้เป็นไปตามระเบียบโดยมิได้นำเข้าเก็บรักษาในตู้นิรภัย แต่ยอมให้ จ. เก็บไว้เอง เป็นเหตุให้ จ. ยักยอกเงินของโจทก์ทั้งสี่ไปได้ถือว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3ประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่ แม้ รากฏว่ามีการปล่อยปละละเลยให้จ. ปฏิบัติหน้าที่เพียงคนเดียวมานานก็ไม่เป็นเหตุผลที่จำเลยที่ 2ที่ 3 จะอ้าง เพื่อให้พ้นผิด จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่ต้องวางข้อกำหนดเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินจากธนาคาร โดยให้มีบุคคลสองหรือสามคนลงชื่อร่วมกัน ทั้งไม่ปรากฏว่าการเบิกจ่ายเงินจากธนาคารของสำนักงานศึกษาธิการอำเภอก่อนหน้าจำเลยที่ 1 ย้ายมาดำรงตำแหน่งศึกษาธิการอำเภอ มี วิธีการแตกต่างไปจากเมื่อจำเลยที่ 1 ย้ายมาดำรงตำแหน่งแล้ว การที่จำเลยที่ 1 มิได้วางข้อกำหนดดังกล่าว ยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยที่ 1ประมาทเลินเล่อ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นศึกษาธิการอำเภอชะอวดจำเลยที่ 2 มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศึกษาธิการอำเภอชะอวด จำเลยที่ 3มีตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่การเงินและการบัญชีประจำสำนักงานศึกษาธิการอำเภอชะอวด จำเลยทั้งสามบกพร่องต่อหน้าที่เป็นเหตุให้นายเจนวิทย์ฤทธิภัณฑ์ ซึ่งเป็นครูระดับ 3 ตำแหน่งอาจารย์ 1 ประจำโรงเรียนชะอวด ช่วยราชการสำนักงานศึกษาธิการอำเภอชะอวด ยักยอกเงินของโจทก์ทั้งสี่ที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายเจนวิทย์ได้รับคำสั่งให้รับมาจากสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครศรีธรรมราชไปได้ โดยเงินที่รับมามีจำนวน 269,624.05 บาท จำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายเจนวิทย์ ได้ร่วมกันปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบเบิกเงินจำนวน5,600.05 บาท ไปใช้เป็นการส่วนตัว โดยจำเลยที่ 2 เอาเงินไป1,650 บาท เท่ากับอัตราเงินเดือนที่จำเลยที่ 2 พึงได้รับและนายเจนวิทย์เอาเงินไป 3,950.05 บาท ส่วนเงินที่รับมาที่เหลือจำนวน264,024 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 ที่ 3 มีหน้าที่ต้องร่วมควบคุมดูแลและนำเข้าเก็บรักษา จำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ปล่อยปละละเลยให้นายเจนวิทย์เก็บรักษาเพียงผู้เดียว ไม่นำเข้าเก็บรักษาตามหน้าที่ อีกทั้งไม่ได้แจ้งหรือรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบถึงเงินที่ได้ร่วมกันรับมาและไม่ได้ส่งหลักฐานหรือเอกสารใด ๆ ให้ผู้บังคับบัญชาทราบนายเจนวิทย์เพียงผู้เดียวได้นำเงินจำนวน 264,024 บาท ไปฝากธนาคารออมสิน สาขาชะอวด ต่อมาได้เบิกเงินจำนวนดังกล่าวไป รวมกับเงินที่เอาไปก่อนหน้านั้น เป็นเงินที่นายเจนวิทย์เบียดบังยักยอกนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้น 267,974.05 บาท การที่นายเจนวิทย์ยักยอกเงินจำนวนดังกล่าวไป ยังเป็นเพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้วางข้อกำหนดการเบิกจ่ายจากธนาคารอย่างเช่นที่ผู้อื่นพึงปฏิบัติ ยินยอมให้นายเจนวิทย์เบิกเงินไปจากธนาคารได้ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 267,974.05 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่ามิได้บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่เหตุเกิดจากการที่คณะกรรมการรับเงินไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องครบถ้วน ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและคดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การทำนองเดียวกันว่า มิได้ปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนระเบียบของทางราชการ การที่นายเจนวิทย์ยักยอกเงินไปได้เป็นเพราะจำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้นายเจนวิทย์มีสิทธิรับจ่ายและโอนเงินจากบัญชีของสำนักงานศึกษาธิการ อำเภอชะอวดที่ธนาคารออมสินสาขาชะอวด ได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและคดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 255,938.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ 1
โจทก์ทั้งสี่และจำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาจะต้องวินิจฉัยข้อแรกตามฎีกาโจทก์ทั้งสี่มีว่า ฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่พิจารณาแล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่าการที่นายเจนวิทย์ยักยอกเงินไปได้เป็นเพราะจำเลยที่ 1 ซึ่งมีหน้าที่วางระเบียบการเก็บรักษาเงินและเบิกจ่ายเงินเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดฉวยโอกาสเอาเงินไปใช้ส่วนตัวได้ละเลยไม่วางข้อกำหนดการเบิกจ่ายเงินจากธนาคารอย่างเช่นผู้อื่นพึงปฏิบัติ คือยินยอมให้นายเจนวิทย์เบิกเงินของทางราชการไปได้ดังนี้ คำฟ้องโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดแล้วว่า ความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 คือการไม่วางข้อกำหนดหรือระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากธนาคารตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้นายเจนวิทย์เบิกเงินของทางราชการไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวได้ ทั้งจำเลยที่ 1 ได้ให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเพราะไม่มีอำนาจหน้าที่กำหนดระเบียบการเก็บรักษาเงินและการเบิกจ่ายเงิน การที่นายเจนวิทย์นายเจนวิทย์ยักยอกเงินไปได้มิใช่เพราะข้อกำหนดหรือระเบียบบกพร่องและมิใช่เพราะจำเลยที่ 1 ยินยอมให้นายเจนวิทย์เบิกเงินจากธนาคารได้แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะเหตุอื่นซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 1 ก็เข้าใจข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาดีจึงให้การกล่าวแก้เช่นนั้น ส่วนข้อกำหนดการเบิกจ่ายเงินจะต้องวางอย่างไรและการที่จำเลยที่ 1 มิได้วางข้อกำหนดังกล่าวเป็นเหตุให้นายเจนวิทย์ยักยอกเงินไปได้อย่างไร เป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่และฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีว่า จำเลยทั้งสามต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 นั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2522 นายอำเภอชะอวดได้มีคำสั่งที่97/2522 แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และนายเจนวิทย์ ฤทธิ์กัณฑ์เป็นกรรมการรับและจ่ายเงินเดือนและเงินอื่น ๆ ประจำเดือนมิถุนายน2522 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 ต่อมานายเจนวิทย์ได้เบิกเงินของสำนักงานศึกษาธิการอำเภอชะอวดแล้วเบียดบังยักยอกไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่า ความประมาทเลินเล่ออันจะเป็นละเมิดจะต้องเกิดจากความประมาทปราศจากความระมัดระวังตามพฤติการณ์แล้วแต่กรณีไป สำหรับกรณีของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ถือเอาการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่วางไว้แต่อย่างเดียวไม่ได้จะต้องดูว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ปฏิบัติตามหน้าที่ครบถ้วนแล้วหรือไม่ และในตอนท้ายจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่า แม้จะวางระเบียบไว้ก็ไม่ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด กล่าวคือแม้จำเลยที่ 2 และที่ 3จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการรับจ่ายเงินตามฟ้อง นายเจนวิทย์ก็เคยทำได้คนเดียว เกี่ยวกับเอกสารการโอนเงินนายเจนวิทย์ก็เคยถือไว้เองโดยไม่ส่งมอบให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบหรือนำไปเก็บในตู้นิรภัยหลังจากที่ได้โอนเงินหรือเบิกเงินแล้ว เห็นว่า ตามคำสั่งเอกสารหมายจ.1 แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นกรรมการรับจ่ายเงิน จำเลยที่ 2และที่ 3 จะต้องปฏิบัติตามระเบียบ โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3จะต้องปฏิบัติร่วมกันกับนายเจนวิทย์ให้เสร็จสิ้นทุกขั้นตอนตั้งแต่ไปจัดการนำเงินจากธนาคารกรุงไทย สาขานครศรีธรรมราช เข้าธนาคารออมสิน สาขานครศรีธรรมราช แล้วโอนไปเข้าธนาคารออมสิน สาขาชะอวดในบัญชีของ สำนักงานศึกษาธิการอำเภอชะอวด แล้วรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และจัดเก็บเอกสารให้ถูกต้องตามระเบียบที่กำหนดไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 59, 70 และ 80 กล่าวคือจะต้องนำหลักฐานการโอนเงินของธนาคารออมสิน สาขานครศรีธรรมราช เข้าเก็บรักษาในตู้นิรภัยของสำนักงานศึกษาธิการอำเภอชะอวด แล้วร่วมกันนำไปรับเงินจากธนาคารออมสิน สาขาชะอวด ในวันต่อไปเพื่อจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงิน จำเลย ที่ 2 และที่ 3 ยอมรับว่าไม่ได้ร่วมปฏิบัติงานกับนายเจนวิทย์ทุกขั้นตอน โดยจำเลยที่ 2 อ้างในฎีกาว่าไม่ได้ร่วมไปกับจำเลยที่ 3 และนายเจนวิทย์นำเงินหรือเช็คที่ได้รับไว้โอนเข้าบัญชีธนาคาร เพราะจำเลยที่ 2 จะต้องรอรับเงินอีกจำนวนหนึ่งจากแผนกศึกษาธิการจังหวัดนครศรีธรรมราช และเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ เห็นว่า ตามระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังในหน้าที่ของอำเภอและกิ่งอำเภอ พ.ศ. 2520 ข้อ 80 จำเลยที่ 2 จะต้องปฏิบัติหน้าที่และรับผิดชอบร่วมกับกรรมการคนอื่นทุกขึ้นตอนโดยไม่มีข้อยกเว้น การที่จำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับนายเจนวิทย์และจำเลยที่ 3 ในขั้นตอนที่เหลือภายหลังรับมอบเช็คจากธนาคารกรุงไทย สาขานครศรีธรรมราช เป็นการเปิดโอกาสให้นายเจนวิทย์สามารถนำเอกสารโอนเงินจากธนาคารออมสิน สาขานครศรีธรรมราชไปขอรับเงินที่ธนาคารออมสิน สาขาชะอวด แล้วยักยอกไปได้โดยง่ายถือได้ว่าประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติการตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย สำหรับจำเลยที่ 3 อ้างว่าได้ไปโอนเงินกับนายเจนวิทย์เรียบร้อยแล้วจึงได้กลับไปรายงานให้จำเลยที่ 2 ทราบและถือว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เห็นว่าจำเลยที่ 3 แม้จะได้ไปโอนเงินกับนายเจนวิทย์แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่จัดการเกี่ยวกับเอกสารการโอนให้เป็นไปตามระเบียบการเก็บรักษาเงินดังกล่าวข้างต้น โดยมิได้นำเข้าเก็บรักษาในตู้นิรภัย แต่ยอมให้นายเจนวิทย์เก็บไว้เองจนเป็นเหตุให้นายเจนวิทย์สามารถยักยอกเงินของโจทก์ทั้งสี่ไปได้ จึงถือไม่ได้ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว และถือได้ว่าเป็นการละเลยต่อหน้าที่ทั้งยังได้ความต่อไปอีกว่า นายเจนวิทย์เบิกเงินมาจำนวนหนึ่ง ได้แบ่งให้จำเลยที่ 3 จำนวน 1,650 บาทเท่ากับเงินเดือนของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ก็รับเอาไว้ ซึ่งทั้งจำเลยที่ 3 และนายเจนวิทย์ไม่มีอำนาจทำได้ เป็นการฝ่าฝืนระเบียบและส่อถึงความไม่สุจริตของจำเลยที่ 3 อยู่ด้วย การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยความประมาทอย่างชัดแจ้ง ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โต้เถียงว่าได้เคยปล่อยปละละเลยให้นายเจนวิทย์ปฏิบัติหน้าที่เพียงคนเดียวมานานแล้วนั้น เห็นว่า เป็นความบกพร่องและประมาทเลินเล่อของกรรมการที่ปล่อยให้นายเจนวิทย์ทำเช่นนั้นไม่เป็นเหตุผลที่จะอ้างให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 พ้นผิดไปได้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 โต้เถียงเป็นข้อสุดท้ายว่าหลักฐานโอนเงินตามแบบสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเอกสารหมาย จ.6 ไม่ใช่เอกสารแทนตัวเงินจึงไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบการเก็บรักษาเงินคือไม่ต้องนำไปเก็บในตู้นิรภัย ข้อนี้นายอำนาจ ทองแป้น พยานโจทก์ซึ่งเป็นศึกษาธิการอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชและเป็นกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งเบิกความยืนยันประกอบเอกสารหมาย จ.2 ว่าแบบสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเทียบเท่ากับเช็คหรือตัวเงิน จะต้องจัดการเก็บให้ถูกต้องตามระเบียบที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 59ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น โจทก์ทั้งสี่กล่าวอ้างในฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดเนื่องจากจำเลยที่ 1 มิได้วางข้อกำหนดการเบิกจ่ายเงินจากธนาคาร โดยให้มีบุคคลสองหรือสามคนร่วมกันลงชื่อรับจ่ายโอนเงินและเบิกเงินจากธนาคาร ซึ่งหากวางข้อกำหนดดังกล่าว นายเจนวิทย์ย่อมไม่สามารถเบิกเงินจากธนาคารไปได้นั้นเห็นว่า ทางนำสืบของโจทก์ทั้งสี่ไม่ปรากฏว่ามีระเบียบปฏิบัติของทางราชการกำหนดให้จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องทำเช่นนั้น ทั้งไม่ปรากฏว่าการเบิกจ่ายเงินจากธนาคารของสำนักงานศึกษาธิการอำเภอชะอวดก่อนหน้าจำเลยที่ 1 ย้ายมาดำรงตำแหน่งศึกษาธิการอำเภอชะอวดมีวิธีการแตกต่างไปจากเมื่อจำเลยที่ 1 ย้ายมาดำรงตำแหน่งแล้วการที่จำเลยที่ 1 มิได้วางข้อกำหนดดังกล่าว ยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อ
พิพากษายืน.

Share