คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 412/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยปล้นทรัพย์และยิงปืนทางท้ายขบวนเกวียนหลังจากบอกให้พวกผู้เสียหายขับเกวียนไปได้ นั้น เป็นการยิงปืนเพื่อขู่ขวัญมิให้พวกเจ้าทรัพย์ติดตามต่อสู้ เห็นได้ว่า เหตุการณ์ยังคงต่อเนื่องกับการปล้นอยู่ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2504)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามคนนี้ได้บังอาจร่วมกันเป็นคนร้ายทำการปล้นทรัพย์ และได้ใช้ปืนและมีดเป็นอาวุธ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐,๘๓
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยทุกคนทำการปล้นทรัพย์จริง พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามคนมีความผิดตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๒ และมาตรา ๘๓ ให้จำคุกคนละ ๑๒ ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา ๓๔๐ วรรค ๔
ศาลฎีกาเห็นว่า เกิดเหตุเรื่องนี้ระหว่างทางเดินในป่า การที่จำเลยปล้นทรัพย์และยิงปืนทางท้ายขบวนเกวียนหลังจากบอกให้พวกผู้เสียหายขับเกวียนไปได้นั้น เป็นการยิงเพื่อประโยชน์ในการปล้น เพราะแม้จำเลยจะปล้นได้ทรัพย์ของผู้เสียหายไปแล้วก็ตาม แต่ส่อให้เห็นได้ว่า ที่จำเลยยิงปืนนั้นเพื่อขู่ขวัญมิให้พวกผู้เสียหายติดตามต่อสู้พวกจำเลยจะได้หลบหนีพาทรัพย์นั้นไปได้โดยสะดวกและให้พ้นจากการจับกุม เพราะพวกขบวนเกวียนก็มีคนมาก โดยมีเกวียนถึง ๑๗ เล่ม และพฤติการณ์ตามที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายก็เห็นได้ชัดว่า ได้มีการใช้ปืนขู่เข็ญผู้เสียหายมาแต่เริ่มลงมือปล้นแล้ว จึงไม่น่าสงสัยว่าจำเลยยิงปืนขึ้น ๒ นัด เพื่อเหตุอื่นใด นอกจากต้องการให้พวกผู้เสียหายมีความกลัวไม่กล้าติดตามพวกจำเลยนั่นเอง เห็นได้ว่าเหตุการณ์ยังไม่ขาดตอน ยังคงต่อเนื่องในการปล้นรายนี้ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ และมาตรา ๘๓ ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ ๒๐ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share