แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จำเลยมิได้ยินยอมหรือรู้เห็นให้มารดาจำเลยขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ การที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากมารดาจำเลยผู้ไม่มีสิทธิย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่โจทก์แม้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายก็ต้องถือว่าเป็นการครอบครองแทนจำเลย แม้ฟังว่าจำเลยทราบเรื่องหลังวันทำสัญญาประมาณ 3 เดือนจึงไปขอไถ่ที่ดินพิพาทคืนจากโจทก์โจทก์ยอมให้ไถ่โดยมีข้อตกลงว่าหากจำเลยมีเงินเมื่อใดก็นำไปไถ่ได้นั้น ถือได้ว่าเป็นเพียงการที่จำเลยยินยอมให้โจทก์ครอบครองแทนต่อไปเท่านั้น และเนื่องจากโจทก์มิได้เข้าครอบครองที่ดินนั้นโดยการแย่งการครอบครอง แม้โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนปัจจุบันก็มิได้สิทธิครอบครอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อขายที่ดินบางส่วนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 52 ตำบลท่าทองอำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน80 ตารางวา ในราคา 1,450 บาท กับนางเฟ้อ ตันศรี มารดาจำเลยโดยจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินมิได้คัดค้านและตกลงจะไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ในภายหลัง โจทก์ได้ครอบครองที่ดินตลอดมาเป็นเวลา 15 ปี แล้ว โจทก์ติดต่อจำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ให้จำเลยไปแบ่งแยกโอนให้แก่โจทก์ภายใน10 วัน หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางเฟ้อโดยรู้อยู่แล้วว่านางเฟ้อไม่ใช่เจ้าของที่ดินโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทแทนจำเลยจึงไม่ได้สิทธิการครอบครอง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 52 ตำบลท่าทอง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ด้านทิศใต้ในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกภายใน 30 วัน หากจำเลยไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยยินยอมและรู้เห็นในการทำสัญญาด้วย แต่จำเลยนำสืบว่ามิได้ยินยอมหรือรู้เห็นในการทำสัญญาเพราะขณะนั้นจำเลยไปอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์นั้นนายเจือ กลิ่นหอม พยานจำเลยซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านและเป็นผู้เขียนสัญญา เอกสารหมาย จ.1 เบิกความว่า ขณะที่ทำสัญญาดังกล่าวจำเลยไปทำงานรับจ้างที่อื่น นายเจือเป็นพยานคนกลาง ไม่มีประโยชน์ได้เสียในคดี คำเบิกความของนายเจือจึงมีน้ำหนักอันควรรับฟังข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าจำเลยมิได้รู้เห็นหรือยินยอมให้นางเฟ้อขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ การที่โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางเฟ้อผู้ไม่มีสิทธิย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่โจทก์ แม้โจทก์เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขาย ก็ต้องถือว่าเป็นการครอบครองแทนจำเลย ส่วนที่จำเลยเบิกความว่าทราบเรื่องหลังวันทำสัญญาประมาณ 3 เดือน จึงไปขอไถ่ที่ดินจากโจทก์ โจทก์ยอมให้ไถ่โดยมีข้อตกลงว่าหากจำเลยมีเงินเมื่อใดก็นำไปไถ่ได้นั้นถือได้ว่าเป็นเพียงการที่จำเลยยินยอมให้โจทก์ครอบครองแทนต่อไปเท่านั้น และเนื่องจากโจทก์มิได้เข้าครอบครองที่ดินนั้นโดยการแย่งการครอบครอง แม้โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทมาจนปัจจุบันก็มิได้สิทธิครอบครอง
พิพากษา