คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3765/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อจำเลยประพฤติหรือปฏิบัติผิดสัญญาอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมฟ้องจำเลยโดยอาศัยมูลเหตุตามสัญญาที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ได้ โดยไม่ต้องคำนึงว่าสัญญาเช่าอาคารพิพาทที่โจทก์ทำไว้กับกระทรวงการคลังซึ่งเป็นเจ้าของอาคารพิพาทจะสิ้นสุดแล้วหรือไม่โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 และเมื่อสัญญาเช่าช่วงครบกำหนด โจทก์ได้บอกเลิกการเช่าช่วงโดยชอบแล้วจำเลยจึงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จะอยู่ในอาคารพิพาทได้ต่อไป.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลขับไล่จำเลยและบริวารให้ออกจากอาคารพิพาทห้ามมิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 280,000 บาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ1,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากอาคารพิพาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ไม่มีความเสียหายใด ๆ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยและบริวารออกไปจากอาคารพิพาทให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 1,800 บาท นับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2525 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากอาคารพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดเป็นค่าทนายความ 1,200 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยยกเหตุเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นต่อสู้ 2 ประการคือ โจทก์ไม่ได้นำสืบให้สมอันปราศจากสงสัยว่า การมอบอำนาจได้กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายจริงหรือไม่ประการหนึ่ง และโจทก์ฟ้องคดีหลังจากสิ้นสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับกระทรวงการคลังแล้วประการหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องการมอบอำนาจนั้นโจทก์มีนายจรูญ รัตนศิริพรหมประธานกรรมการ โจทก์เบิกความว่าคณะกรรมการของโจทก์ได้มีมติให้พยานดำเนินการฟ้องคดีนี้แทน ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งตามเอกสารดังกล่าวมีข้อความว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายจรูญ รัตนศิริพรหมกับนายวิรัช วัฒนกูล หรือกับนายบุญหา สุนทรไชยา ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ซึ่งปรากฏตามใบแต่งทนายความว่าบุคคลทั้งสามได้ลงลายมือชื่อแต่งทนายความ ฝ่ายจำเลยไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงน่าเชื่อตามที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายจรูญ รัตนศิริพรหม กับนายวิรัช วัฒนกูลหรือกับนายบุญทา สุนทรไชยา ฟ้องคดีแทนโดยชอบแล้ว ส่วนเรื่องที่โจทกฟ้องคดีหลังจากสัญญาเช่าอาคารพิพาทระหว่างโจทก์กับกระทรวงการคลังสิ้นสุดแล้วนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยมูลเหตุตามสัญญาที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ เมื่อจำเลยประพฤติหรือปฏิบัติผิดสัญญาดังกล่าวประการใด อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลย ทั้งนี้ โดยไม่ต้องคำนึงว่าสัญญาเช่าอาคารพิพาทที่โจทก์ทำไว้กับกระทรวงการคลังจะสิ้นสุดแล้วหรือไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ส่วนฎีกาของจำเลยที่โต้เถียงว่า สัญญาจ้างผู้จัดการตามเอกสารหมาย จ.3 หรือ จ.2 เป็นนิติกรรมอำพรางการให้เช่าช่วงอาคารพิพาทนั้น ถึงแม้จะฟังได้ว่าเป็นความจริง แต่ตามสัญญาจ้างผู้จัดการดังกล่าวได้ว่าจ้างมีกำหนด 5 ปี ซึ่งครบกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2524 จึงจะต้องถือว่า โจทก์จำเลยตกลงกันให้การเช่าช่วงอาคารพิพาทมีกำหนดเวลาและสิ้นสุดลงตามวันเดือนปีดังกล่าวด้วย และคู่ความรับกันว่าเมื่อสัญญาจ้างผู้จัดการสิ้นสุดลงแล้ว โจทก์ได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 8 มกราคม 2525 บอกเลิกจ้างจำเลย และต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือฉบับลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2525ไปถึงจำเลย ยืนยันไม่ต่ออายุสัญญาให้จำเลยกับเร่งรัดให้จำเลยและครอบครัวพร้อมบริวารออกไปจากอาคารพิพาทตามเอกสารหมาย ล.45 หรือจ.8 จึงต้องแปลว่าเมื่อสัญญาเช่าช่วงครบกำหนดแล้ว โจทก์ได้บอกเลิกการเช่าช่วงโดยชอบแล้วเช่นเดียวกัน ดังนั้นจำเลยจึงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จะอยู่ในอาคารพิพาทได้ต่อไป ส่วนประเด็นค่าเสียหายที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลย เพราะสัญญาเช่าอาคารพิพาทระหว่างโจทก์กับกระทรวงการคลังได้สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2525 สิทธิในการใช้ประโยชน์ในอาคารพิพาทย่อมหมดสิ้นลงตามอายุสัญญาเช่านั้น ปรากฎว่าปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share