คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4118/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้โจทก์ คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 2 เมื่อโจทก์นำหนี้ตาม คำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีล้มละลายจำเลยที่ 2 จะโต้เถียงว่าไม่ได้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นหนี้ที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมายหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งมีจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท และมีพฤติการณ์แสดงว่าเป็นบุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า หนี้ตามคำพิพากษานั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากจำเลยไม่เคยลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกัน และขณะที่ทำสัญญานั้นจำเลยยังไม่บรรลุนิติภาวะ นอกจากนั้นจำเลยไม่ทราบมาก่อนว่าถูกฟ้องและเป็นหนี้ดังกล่าว โจทก์จึงขอรับชำระหนี้ไม่ได้ขอให้ศาลยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาด ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2เด็ดขาด
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระหนี้จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ13.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2520 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ด้วยปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 คดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145เมื่อโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีล้มละลาย จำเลยที่ 2 จะโต้เถียงว่าไม่ได้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่ ต้องถือว่าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ที่แท้จริงและถูกต้อง…”
พิพากษายืน.

Share