คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4115/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทใช้ทำนาโดยเช่าจากส.เจ้าของเดิมมานานโจทก์ทำนาในที่ดินพิพาทตลอดมาจำเลยที่1ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลซึ่งในขณะนั้นปรากฎว่าโจทก์ยังเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทและทำนาอยู่ดังนั้นการที่จำเลยที่1รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาจากเจ้าของเดิมผู้ให้เช่าแม้จำเลยที่1ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลก็ตามจำเลยที่1ก็ย่อมอยู่ในฐานะเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทจากเจ้าของเดิมเพราะผู้ขายที่ดินพิพาทที่แท้จริงก็คือเจ้าของเดิมศาลเป็นแต่เพียงดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทตามบทบัญญัติของกฎหมายเท่านั้นมิได้มีผลไปลบล้างบทบัญญัติพิเศษในกฎหมายอื่นนอกเหนือจากที่ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะไม่การรับโอนของจำเลยที่1จึงเป็นการรับโอนที่ดินพิพาทตามความในมาตรา28แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524กล่าวคือการเช่านาย่อมไม่ระงับไปเพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์นาที่เช่าผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านาตามพระราชบัญญัติดังกล่าวจำเลยที่1ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ที่เจ้าของเดิมซึ่งเป็นผู้ให้เช่าที่ต่อโจทก์ผู้เช่าดังนั้นโจทก์จึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา53แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กล่าวคือจำเลยที่1ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ให้เช่านาเมื่อประสงค์จะขายนาคือที่ดินพิพาทก็มีหน้าที่ต้องแจ้งให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาทราบโดยทำเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายนาพร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธานคชก.ตำบลเพื่อแจ้งให้โจทก์ผู้เช่านาทราบภายในสิบห้าวันเสียก่อนถ้าโจทก์ผู้เช่านาไม่ซื้อตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา53วรรคสามจำเลยที่1จึงจะขายให้จำเลยที่3ได้ต่อไปเมื่อจำเลยที่1ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวโจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทก่อนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54เมื่อโจทก์ได้ร้องต่อคชก.ตำบลเพื่อขอซื้อที่ดินพิพาทตามสิทธิในกฎหมายดังกล่าวและคชก.ตำบลก็ได้มีมติให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่3โดยฝ่ายจำเลยทั้งสามมิได้อุทธรณ์มติของคชก.ตำบลแต่อย่างใดนับว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนครบถ้วนตามมาตรา54ดังกล่าวแล้วโจทก์จึงมีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่3ได้ การที่จำเลยที่3อ้างว่า โจทก์ได้ชำระค่าเช่าที่ดินพิพาทให้จำเลยที่3โดยการชำระผ่านย. แสดงว่าโจทก์สละสิทธิในการที่จะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่3และเป็นการแสดงเจตนาเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่3ใหม่นั้นการชำระค่าเช่านั้นเป็นหน้าที่ของผู้เช่าต้องปฏิบัติตามกฎหมายคือตราบใดที่โจทก์ยังเป็นผู้เช่ายังไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโจทก์ก็มีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่านาคือค่าเช่าที่ดินพิพาทเป็นคนละส่วนกันกับสิทธิกันกับสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ตามบทบัญญัติของมาตรา54แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวการที่พระราชบัญญัติชำระค่าเช่านาคือค่าเช่าที่ดินพิพาทจึงมิใช่ข้อที่จะตัดสิทธิของโจทก์ว่าเป็นการสละสิทธิที่จะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่3และการที่โจทก์ยื่นคำร้องต่อคชก.ตำบลเพื่อขอซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่3นั้นก็เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายหาใช่เป็นการใช่สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ทั้งเป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนอยู่ในตัวว่าโจทก์มิได้มีความประสงค์ที่จะสละสิทธิในการซื้อที่ดินพิพาทด้วย ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา54ได้กำหนดให้ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาจากผู้รับโอนนั้นตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้นแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่ากันเมื่อปรากฎว่าจำเลยที่1ประมูลซื้อที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดในราคา900,000บาทและในวันเดียวกันนั้นได้โอนขายให้จำเลยที่3จำเลยที่3ซื้อที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยที่1ในราคา1,500,000บาทแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในขณะที่จำเลยที่3รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่1นั้นที่ดินพิพาทมีราคาตลาดเท่ากับราคาที่จำเลยที่3ซื้อมาจากจำเลยที่1คือราคา1,500,000บาทดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่3ในราคาดังกล่าวตามมติของคชก.ตำบลจึงชอบแล้วแต่ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดเวลาให้โจทก์ชำระราคาไว้นั้นไม่ถูกต้องสมบูรณ์ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขโดยกำหนดเวลาให้โจทก์ชำระราคาด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันเพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2533 ระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 3 ซึ่งอยู่ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม แล้วให้จำเลยทั้งสามร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และรับเงินจำนวน 1,500,000 บาท ไป หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสามเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินเพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 เสีย แล้วโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาด โดยที่จำเลยที่ 1 ไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีผู้เช่านาในที่ดินพิพาทและเมื่อจำเลยที่ 1 รับโอนที่ดินตามคำสั่งศาลจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 ในวันเดียวกันจำเลยที่ 1 กับโจทก์ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ต่อกัน การขายที่ดินพิพาทไม่จำต้องแจ้งให้โจทก์ทราบตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 เมื่อโจทก์มิใช่ผู้เช่านาจากจำเลยที่ 1การที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3 ไป โจทก์ก็ไม่มีสิทธิร้องขอต่อ คชก.ตำบลบางภาษี เพื่อบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 3โอนขายที่ดินให้แก่โจทก์ คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลบางภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าศาลมีคำสั่งขายทอดตลาดที่ดินพิพาท หากโจทก์เป็นผู้เช่านาและมีความประสงค์จะซื้อที่ดิน โจทก์ก็ควรจะเข้าประมูลสู้ราคาในการขายทอดตลาดแต่โจทก์มิได้เข้าประมูลสู้ราคาในการขายทอดตลาด แสดงว่าโจทก์ไม่มีความประสงค์จะซื้อที่ดิน โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะซื้อที่ดินพิพาทการที่โจทก์เพิ่งมาร้องต่อ คชก.ตำบลบางภาษี ว่ามีความประสงค์ที่จะซื้อที่ดินพิพาท เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2533 ก็เพราะที่ดินมีราคาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โจทก์มิได้ซื้อเพื่อทำนา หากแต่เห็นแก่ผลกำไรในราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้น คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลบางภาษีที่ว่าโจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 ไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามได้ จำเลยที่ 1 ไม่มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จึงไม่มีหน้าที่โอนให้แก่โจทก์ตามฟ้องแต่อย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ทราบว่านายแสวง ประภาพันธ์ถูกนางสอิ้ง ประภาพันธ์ ฟ้องเป็นคดีแพ่งที่ศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 16024/2523 และศาลแพ่งมีคำสั่งยึดทรัพย์สินของนายแสวงขายทอดตลาด ซึ่งมีที่ดินพิพาทอยู่ด้วยศาลแพ่งได้มอบหมายให้ศาลชั้นต้นดำเนินการขายทอดตลาดแทน โจทก์ทราบแต่โจทก์ไม่เข้ามาประมูลราคาเพื่อซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดเพราะโจทก์ไม่ประสงค์จะซื้อที่ดินพิพาท ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดที่ดินพิพาท ศาลแพ่งไม่จำต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53 เพราะศาลแพ่งมิได้เป็นเจ้าของนาพิพาทและมิได้เป็นผู้ให้ใครเช่าที่ดินพิพาท ประกอบกับนายแสวงมิได้เป็นผู้ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยตรงแต่การขายที่ดินพิพาทเป็นการขายที่ดินตามคำสั่งของศาลแพ่ง โจทก์จึงไม่ได้รับสิทธิตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 28 และจำเลยที่ 1 ก็ไม่มีภาระผูกพันใด ๆต่อโจทก์ ฉะนั้นเมื่อจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53 แต่อย่างใด โจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 ก่อนซื้อที่ดินพิพาทจำเลยที่ 3 ให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีไปตรวจสอบหลักฐานเกี่ยวกับที่ดิน จำเลยที่ 2จึงได้ออกไปตรวจสอบหลักเขตที่ดิน ซึ่งขณะนั้นโจทก์ยืนอยู่ใกล้ ๆ กับจำเลยทั้งสาม โจทก์เป็นผู้อาสาพาไปชี้แนวเขตที่ดิน โดยมิได้แสดงว่าเป็นผู้เช่าที่ดินทำนาอยู่หรือทักท้วงประการใด การฟ้องคดีของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 3 ไม่เคยมอบหมายให้นางลำใย ใจอารีย์ มาเก็บค่าเช่านาที่ดินพิพาทจากโจทก์โจทก์เองเป็นผู้ฝากเงินนางลำใยไปให้จำเลยที่ 3 จำนวน 5,370 บาทและจะมาตกลงทำสัญญาเช่าภายหลัง มติ คชก.ตำบลบางภาษีที่ให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทในราคา 1,500,000 บาท ขัดต่อการพิจารณาที่ถูกต้อง ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524หากศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ต้องขายที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้ว โจทก์จะต้องชำระราคาที่ดินให้จำเลยที่ 3 ตามราคาท้องตลาดในขณะนั้นซึ่งมีราคาไร่ละ 250,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3 โอนขายนาพิพาทโฉนดเลขที่ 21396ตำบลบางภาษี อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ให้แก่โจทก์ทั้งแปลงโดยโจทก์ต้องวางเงินค่าซื้อที่ดินทั้งหมดจำนวน 2,491,775 บาท ต่อศาลเพื่อให้จำเลยที่ 3 รับไป หากไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยที่ 3 ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ต้องวางเงินค่าซื้อที่ดินทั้งหมดจำนวน 1,500,000 บาท ต่อศาล เพื่อให้จำเลยที่ 3 รับไปนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลย ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่าโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาททำนา คือที่ดินโฉนดเลขที่ 21396 ตำบลบางภาษี อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เนื้อที่ 19 ไร่เศษจากนายแสวง ประภาพันธ์ เจ้าของที่ดินพิพาทเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลาคิดค่าเช่าเป็นเงินปีละ 5,400 บาท โจทก์เข้าทำนาและปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทเรื่อยมา ต่อมานายแสวงถูกนางสอิ้ง ประภาพันธ์ ภริยาฟ้องเป็นจำเลยในคดีแพ่งที่ศาลแพ่งตามคดีหมายเลขแดงที่ 16024/2523 ซึ่งปรากฎว่าศาลแพ่งมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินของนายแสวงอันมีที่ดินพิพาทรวมอยู่ด้วยออกขายทอดตลาดโดยมอบหมายให้ศาลชั้นต้นดำเนินการขายทอดตลาดแทน จำเลยที่ 1เป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินพิพาทได้ในราคา 900,000 บาท ทั้งนี้ จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 3รายละเอียดปรากฎตามเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.5 ในการซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าว จำเลยทั้งสามไม่ได้แจ้ง คชก.ตำบลบางภาษีและไม่ได้แจ้งให้โจทก์ใช้สิทธิซื้อที่ดินพิพาทก่อนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อคชก.ตำบลบางภาษีเพื่อใช้สิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และที่ 3คชก.ตำบลบางภาษีได้ประชุมและมีมติว่าโจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทใช้ทำนามาโดยตลอด จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 โดยไม่ได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 ให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 ในราคา 1,500,000บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่าโจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 หรือไม่ และที่ศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 ในราคาที่ คชก.ตำบลบางภาษีกำหนดนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทใช้ทำนาโดยเช่าจากนายแสวงเจ้าของเดิมมานาน โจทก์ทำนาในที่ดินพิพาทตลอดมา จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลซึ่งในขณะนั้นปรากฎว่าโจทก์ยังเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทและทำนาอยู่ ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาจากเจ้าของเดิมผู้ให้เช่า แม้จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลก็ตาม จำเลยที่ 1 ก็ย่อมอยู่ในฐานะเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทจากเจ้าของเดิมเพราะผู้ขายที่ดินพิพาทที่แท้จริงก็คือเจ้าของเดิม ศาลเป็นแต่เพียงดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินพิพาทตามบทบัญญัติของกฎหมายเท่านั้น มิได้มีผลไปลบล้างบทบัญญัติพิเศษในกฎหมายอื่นนอกเหนือจากที่ได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะไม่การรับโอนของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการรับโอนที่ดินพิพาทตามความในมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524กล่าวคือ การเช่านาย่อมไม่ระงับไปเพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์นาที่เช่าผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านาตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยที่ 1 ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ที่เจ้าของเดิมซึ่งเป็นผู้ให้เช่ามีต่อโจทก์ผู้เช่า ดังนั้น โจทก์จึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 กล่าวคือจำเลยที่ 1 ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ให้เช่านาเมื่อประสงค์จะขายนาคือที่ดินพิพาทก็มีหน้าที่ต้องแจ้งให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่านาทราบโดยทำเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายนาพร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธาน คชก.ตำบลบางภาษีเพื่อแจ้งให้โจทก์ผู้เช่านาทราบภายในสิบห้าวันเสียก่อนถ้าโจทก์ผู้เช่านาไม่ซื้อตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 53 วรรคสาม จำเลยที่ 1 จึงจะขายให้จำเลยที่ 3ได้ต่อไปเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวโจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทก่อนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 54เมื่อโจทก์ได้ร้องต่อ คชก.ตำบลบางภาษี เพื่อขอซื้อที่ดินพิพาทตามสิทธิในกฎหมายดังกล่าว และ คชก.ตำบลบางภาษีก็ได้มีมติให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 โดยฝ่ายจำเลยทั้งสามมิได้อุทธรณ์มติของ คชก.ตำบลบางภาษีแต่อย่างใด นับว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนครบถ้วนตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 มาตรา 54 แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 ได้ การที่จำเลยที่ 3 อ้างในฎีกาว่าโจทก์ได้ชำระค่าเช่าที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 3 โดยการชำระผ่านนางลำใยแสดงว่าโจทก์สละสิทธิในการที่จะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 และเป็นการแสดงเจตนาเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 ใหม่นั้น ข้อนี้เห็นว่า การชำระค่าเช่านั้นเป็นหน้าที่ของผู้เช่าต้องปฏิบัติตามกฎหมายคือตราบใดที่โจทก์ยังเป็นผู้เช่า ยังไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โจทก์ก็มีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่านา คือค่าเช่าที่ดินพิพาทเป็นคนละส่วนกันกับสิทธิของโจทก์ที่มีอยู่ตามบทบัญญัติของมาตรา 54แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว การที่โจทก์ชำระค่าเช่านาคือค่าเช่าที่ดินพิพาท จึงมิใช่ข้อที่จะตัดสิทธิของโจทก์ว่าเป็นการสละสิทธิที่จะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 และการที่โจทก์ยื่นคำร้องต่อคชก.ตำบลบางภาษี เพื่อขอซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3 นั้นก็เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย หาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตามที่จำเลยที่ 3 เข้าใจไม่ ทั้งเป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนอยู่ในตัวว่า โจทก์มิได้มีความประสงค์ที่จะสละสิทธิในการซื้อที่ดินพิพาทดังที่จำเลยที่ 3 กล่าวอ้างด้วย ข้อกล่าวอ้างต่าง ๆ ของจำเลยที่ 3ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทคืนจึงไม่มีน้ำหนักรับฟัง สำหรับปัญหาว่าที่ศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 3ในราคาที่ คชก.ตำบลบางภาษีกำหนดนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 54 ได้กำหนดให้ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาจากผู้รับโอนนั้นตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้นแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่ากันข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยที่ 1 ประมูลซื้อที่ดินพิพาทมาจากการขายทอดตลาดในราคา 900,000 บาทและในวันเดียวกันนั้นได้โอนขายให้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยที่ 1 ในราคา 1,500,000 บาท ซึ่งเป็นการซื้อขายที่กระทำต่อเจ้าพนักงานที่ดินผู้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้เจ้าพนักงานได้มีการสอบถามและตรวจสอบราคาที่ดินพิพาทนายอรรถสิทธิ์ เวชยานนท์ เจ้าพนักงานที่ดินผู้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและลงชื่อในสัญญาขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ยืนยันว่าคู่สัญญายืนยันตามราคาที่จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน นอกจากนั้นคณะกรรมการของ คชก.ตำบลบางภาษี ต่างประกอบด้วยบุคคลในพื้นที่ซึ่งย่อมทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับที่ดินพิพาท การที่ คชก.ตำบลบางภาษีมีมติกำหนดให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทคืนในราคา1,500,000 บาท ซึ่งตรงกับราคาที่จำเลยที่ 3 ซื้อมาจากจำเลยที่ 1ดังกล่าวข้างต้นนั้น แสดงว่า คชก.ตำบลบางภาษีได้พิจารณาถึงราคาที่ดินพิพาทในขณะนั้นแล้วว่ามีราคาตามที่ได้มีมติไปดังกล่าวส่วนที่จำเลยที่ 3 กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทมีราคาสูงกว่าที่จำเลยที่ 3 ซื้อมาจากจำเลยที่ 1 นั้น ก็ปรากฎว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้นำสืบพยานหลักฐานใด ๆ ว่ามติของ คชก.ตำบลบางภาษีในเรื่องนี้ขัดต่อกฎหมายอย่างไร จำเลยที่ 3 เพียงแต่ยกเอาคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ที่เบิกความตอบคำถามของทนายจำเลยที่ 3ตอนหนึ่งเป็นพยานว่านายสุเทพเคยขอซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1โดยเสนอราคาไร่ละ 150,000 บาท ซึ่งเป็นการเบิกความลอย ๆไม่มีน้ำหนักที่ควรเชื่อถือ ข้ออ้างของจำเลยที่ 3 ที่ว่าที่ดินพิพาทมีราคาสูงกว่าราคาที่จำเลยที่ 3 ซื้อจากจำเลยที่ 3 จึงไม่มีน้ำหนักรับฟัง ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าในขณะที่จำเลยที่ 3 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 นั้น ที่ดินพิพาทมีราคาตลาดเท่ากับราคาที่จำเลยที่ 3 ซื้อมาจากจำเลยที่ 1 คือราคา 1,500,000 บาทที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยที่ 3 ในราคาดังกล่าวตามมติของ คชก.ตำบลบางภาษีจึงชอบแล้วแต่ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดเวลาให้โจทก์ชำระราคาไว้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าไม่สมบูรณ์ ศาลฎีกาสมควรแก้ไขโดยกำหนดเวลาให้โจทก์ชำระราคาด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระราคาที่จะซื้อที่ดินพิพาทจำนวน1,500,000 บาทภายในหกสิบวันนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกามิฉะนั้น ให้ถือว่าโจทก์ไม่ติดใจซื้อ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share