คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4113/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ผู้ตายซึ่งถูกทำร้ายได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมากวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากอ. และพูดบอกถึงคนที่ทำร้ายตนในโอกาสแรกแล้วก็เงียบเสียงไปพูดไม่ได้อีกและถึงแก่ความตายในคืนนั้นเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ตายรู้ตัวว่าจะต้องตายและผู้ตายคงไม่มีเวลาที่จะคิดปรักปรำผู้อื่นโดยไม่เป็นความจริงคำพูดของผู้ตายที่พูดบอกก่อนตายจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงผู้ตายถูกที่บริเวณหน้าอกซ้าย เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 20 ปี
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2530 นายสำราญ สุวรรณใจดี จัดงานมงคลสมรสให้ นางสาววรรณี สุวรรณใจดี ซึ่งเป็นน้องที่บ้านพักหมู่ที่ 1ตำบลทำเนียบ อำเภอคีรีรัฐนิคม จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีเพื่อนบ้านมาร่วมงานหลายสิบคนรวมทั้งจำเลยและนายนพดล นาคประดิษฐ์ผู้ตายด้วย เวลากลางคืนมีการเต้นรำกันที่บริเวณลานบ้านของนายสำราญ จนถึงเวลาประมาณ 1 นาฬิกา ขณะที่นายอุดม ลิ้มโปยืนอยู่ที่ลานบ้านของนายสำราญ ผู้ตายวิ่งมาที่ลานบ้านตรงที่นายอุดมยืนอยู่ ผู้ตายพูดกับนายอุดมว่า น้าดมช่วยด้วยนายเนาแทงผมแล้ว แล้วผู้ตายล้มลงและเงียบไป ผู้ตายมีบาดแผลที่บริเวณหน้าอกซ้ายนายกิตติกร พลภักดี กับพวกได้ช่วยนำผู้ตายส่งโรงพยาบาล แต่ผู้ตายถึงแก่ความตายก่อนถึงโรงพยาบาล ในคืนเกิดเหตุพันตำรวจโทสอาด ใสจุลย์ และพันตำรวจโทสุเทพ ก่อสกุล ได้รับแจ้งเหตุได้ออกไปตรวจที่เกิดเหตุ ทำแผนที่สังเขปสถานที่เกิดเหตุและบันทึกการตรวจที่เกิดเหตุไว้ จากการสอบสวนได้ความว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ จึงออกหมายจับและจับจำเลยได้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2537 มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า คำพูดของผู้ตายที่บอกเล่านายอุดมไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้บอกเล่าในขณะที่รู้ตัวว่าจะตาย เป็นเพียงพยานบอกเล่าไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังมาลงโทษจำเลยได้นั้นได้ความจากคำเบิกความของนายอุดมว่าขณะที่พยานรำวงกันอยู่ผู้ตายวิ่งมาที่พยานและพูดว่าน้าดมช่วยด้วย นายเนาแทงผมแล้วแล้วผู้ตายก็ล้มลงและเงียบไป จากนั้นนายกิตติกร พลภักดีกับพวกนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลและผู้ตายถึงแก่ความตายในคืนนั้นกับได้ความตามรายงานการชันสูตรพลิกศพผู้ตายว่า ผู้ตายถูกแทงด้วยของมีคมที่บริเวณราวนมซ้ายขนาดยาว 2 เซนติเมตร ลึก0.5 เซนติเมตร ไม่เข้าทรวงอกและมีบาดแผลที่ใต้ชายโครงซ้ายแนวเดียวกับแผลแรกขนาดยาว 3 เซนติเมตร ทะลุถึงในท้องมีส่วนของลำไส้ทะลักออกมาสาเหตุที่ทำให้ตายเนื่องจากเสียโลหิตมากในช่องท้อง เห็นว่าบาดแผลที่ผู้ตายได้รับเป็นบาดแผลฉกรรจ์โดยเฉพาะบาดแผลที่ 2 ทะลุช่องท้องจนลำไส้ทะลักออกมา แสดงว่าผู้ตายได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมาก เมื่อผู้ตายวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากนายอุดม แล้วผู้ตายก็เงียบเสียงไปพูดไม่ได้อีก นายกิตติกรผู้นำผู้ตายส่งโรงพยาบาลเบิกความว่า ระหว่างทางได้ถามอาการผู้ตาย ผู้ตายส่งเสียงฮือแล้วไม่พูดอะไร ดังนี้ เห็นว่าการที่ผู้ตายวิ่งมาขอความช่วยเหลือและพูดบอกกับนายอุดมถึงคนที่ทำร้ายตน ในโอกาสแรกเช่นนี้แสดงให้เห็นได้อยู่ในตัวว่าผู้ตายรู้ตัวว่าตนจะต้องตายและผู้ตายคงไม่มีเวลาที่จะคิดปรักปรำบุคคลอื่นโดยไม่เป็นความจริง ดังนั้น คำพูดของผู้ตายที่พูดบอกนายอุดมก่อนตายดังกล่าวจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าคนร้ายที่แทงผู้ตายชื่อนายเนา ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า นายเนาที่ผู้ตายระบุชื่อก่อนตายคือจำเลยหรือไม่จำเลยฎีกาว่า นายเนาที่ผู้ตายระบุนั้น ผู้ตายไม่ได้ระบุว่าเป็นนายเนาคนใด เพราะได้ความว่าในตำบลที่เกิดเหตุมีคนที่ชื่อเนาถึง 3 คน การระบุชื่อคนร้ายของผู้ตายเพียงเท่านี้ยังไม่พอให้รับฟังว่านายเนาที่ผู้ตายระบุชื่อคือจำเลยนั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายอุดม นายสำราญและนายกิตติกรพยานโจทก์ต่างเบิกความว่า นายเนาที่ผู้ตายระบุชื่อก่อนตายหมายถึงจำเลยโดยเฉพาะนายสำราญเบิกความว่า เวลาประมาณ 21 นาฬิกาผู้ตายกับนายติ๊กบุตรจำเลยมีเรื่องโต้เถียงกันโดยนายติ๊กสงสัยว่าผู้ตายนำรองเท้าฟองน้ำของนายติ๊กไปซ่อน ขณะนั้นจำเลยก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ดังนั้น แม้ผู้ตายจะไม่ได้ระบุนามสกุลของนายเนาคนร้ายและตำบลที่เกิดเหตุจะมีคนชื่อเนาอย่างน้อย3 คน ก็ตาม แต่บุคคลเหล่านั้นก็ไม่ปรากฏว่าได้มาร่วมงานในวันเกิดเหตุ และมีสาเหตุกับผู้ตายแต่อย่างใด ทั้งคดีได้ความว่าตั้งแต่เกิดเหตุเป็นต้นมาจำเลยได้หลบหนีไปจากตำบลที่เกิดเหตุไม่เคยกลับมาอีก ทั้งที่จำเลยมีสวนยางและครอบครัวยังคงอาลัยอยู่ในตำบลที่เกิดเหตุเป็นพิรุธ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าจำเลยไป ๆมา ๆ ระหว่างตำบลบางมะเดื่อกับตำบลทำเนียบไม่เคยทราบว่าถูกกล่าวหาคดีนี้ฟังไม่ขึ้นเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักและเหตุผลฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ฆ่าผู้ตายจริงดังฟ้องพยานหลักฐานของจำเลยฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวไม่ได้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share