คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4109/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่2นำรถยนต์บรรทุกไปจอดใกล้กับทางรถไฟแม้จะอยู่ในบริเวณลานจอดรถของการท่าเรือแห่งประเทศไทยวิญญูชนย่อมจะต้องคาดหมายว่าเมื่อรถไฟแล่นมาตามรางจะต้องมีระยะที่ปลอดจากสิ่งกีดขวางพอสมควรเพื่อป้องกันมิได้เกิดเหตุเฉี่ยวชนกันพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา57(8)จึงบัญญัติว่าห้ามมิให้จอดรถห่างจากทางรถไฟน้อยกว่า15เมตรแต่จำเลยที่2มิได้ปฎิบัติตามกฎหมายดังกล่าวซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อปกป้องบุคคลอื่นเมื่อจำเลยที่2นำรถไปจอดในที่เกิดเหตุไม่ว่าจะเป็นระยะ2เมตรหรือ1เมตรก็เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา422ให้สันนิษฐานว่าจำเลยที่2เป็นผู้ผิดจำเลยที่2จึงละเมิดต่อโจทก์และเป็นการกระทำในทางการที่จ้างจำเลยที่1จึงต้องร่วมรับผิดในฐานะเป็นนายจ้างตามมาตรา425 การที่ช. ขับรถไฟมาด้วยความเร็วประมาณ15กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อผ่านทางโค้งเห็นบริเวณที่จอดรถมีรถยนต์บรรทุกจอดอยู่หลายคันมีรถยนต์ของจำเลยที่2อยู่ใกล้ทางรถไฟมากกว่าคันอื่นแต่ช. คงขับรถไฟด้วยความเร็วเท่าเดิมเมื่อเข้าไปใกล้ในระยะประมาณ10เมตรเห็นว่าไม่อาจขับรถผ่านไปได้โดยไม่เกิดเหตุเฉี่ยวชนกันจึงเปิดหวีดอันตรายพร้อมห้ามล้อฉุกเฉินแต่ไม่อาจหยุดรถไฟได้ทันนั้นในภาวะเช่นนั้นช. ย่อมจะคาดหมายได้ว่าอาจเกิดการเฉี่ยวชนรถยนต์บรรทุกที่จอดอยู่อย่างผิดปกติตั้งแต่ขับรถไฟผ่านโค้งมาแล้วการที่ช. ขับรถไฟด้วยอัตราความเร็วเท่าเดิมจนถึงระยะที่ไม่อาจหยุดรถก่อนจะถึงที่เกิดเหตุได้ถือว่าช.มีความประมาทเลินเล่อด้วยส่วนหนึ่งแต่การที่จำเลยที่2นำรถไปจอดนั้นมิใช่อยู่ในลักษณะที่กีดขวางทางรถไฟอย่างชัดแจ้งจะคาดหวังให้ช. ต้องดำเนินการตามขั้นตอนการหยุดรถตั้งแต่เห็นย่อมจะไม่ได้เพราะรถไฟแล่นมาตามรางซึ่งเป็นทางบังคับเป็นหน้าที่ของผู้นำรถบรรทุกไปจอดจะต้องระมัดระวังมากกว่าในส่วนประมาทเลินเล่อของช. จึงมีเพียงเล็กน้อยจำเลยที่2มีส่วนประมาทเลินเล่อมากกว่าจำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดสองในสามส่วนของความเสียหายทั้งหมด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 1 ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ด้วยความประมาทโดยถอยหลังรถยนต์บรรทุกเพื่อเข้าจอดใกล้กับทางรถไฟอันเป็นการกีดขวางทางเดินขบวนรถไฟของโจทก์ ทำให้ขบวนรถไฟเลื่อนไหลเข้าไปชนรถยนต์บรรทุกดังกล่าวเป็นเหตุให้รถไฟของโจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 52,748.83 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ใช้ให้จำเลยที่ 2ขับรถยนต์ไปในทางการที่จ้าง จำเลยที่ 2 ไม่ได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาท เหตุที่เกิดขึ้นเพราะความประมาทของเจ้าหน้าที่ของโจทก์ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 52,748.83บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เบื้องต้นตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่า เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2535 ก่อนเวลาประมาณ 18 นาฬิกา คนขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 88-2879กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 1 ในทางการที่จ้างหรือในกิจการของจำเลยที่ 1 นำรถยนต์บรรทุกดังกล่าวไปจอดอยู่ที่บริเวณลานจอดรถของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ห่างจากรางรถไฟน้อยกว่า 15 เมตรต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 57(8)ครั้นเมื่อเวลาประมาณ 18.35 นาฬิกา นายสุชีพ จิตรีงามพนักงานขับรถไฟขับรถจักรดีเซลหมายเลข 4050 ทำการลากจูงรถพ่วง54 คัน จากสถานีแม่น้ำไปยังโรงกลั่นบางจากและการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยมีนายประชา กิจรัตนกาญจน์ ช่างเครื่องไปด้วย ต่อมานายสุชีพแจ้งแก่นายสถานีแม่น้ำว่ารถไฟที่ขับไปนั้นเฉี่ยวชนรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว โจทก์ได้ตรวจสอบความเสียหายปรากฎว่าหม้อสูบเครื่องห้ามล้อรถจักรแคร่ที่ 1 ด้านซ้ายแตกใช้การไม่ได้ต้องเปลี่ยนใหม่ คิดเป็นค่าเสียหาย 49,068.68 บาท พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจแผนก 2 กองกำกับ 1 กองตำรวจน้ำ(ตำรวจท่าเรือ) ทำการเปรียบเทียบปรับคนขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าว1,000 บาท ในข้อหาจอดรถยนต์กีดขวางการจราจร โดยระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ต้องหา ต่อมาโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดเพียงใดนั้น ต้องพิจารณาว่าจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ก่อน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420บัญญัติว่า “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดีเสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น” การที่จำเลยที่ 2 นำรถยนต์บรรทุกไปจอดใกล้กับทางรถไฟ แม้จะอยู่ในบริเวณลานจอดรถของการท่าเรือแห่งประเทศไทย วิญญูชนย่อมจะต้องคาดหมายว่า เมื่อรถไฟแล่นมาตามรางจะต้องมีระยะที่ปลอดจากสิ่งกีดขวางพอสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุเฉี่ยวชนกันพระราชบัญญัติ จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 57(8) จึงบัญญัติว่าห้ามมิให้จอดรถห่างจากทางรถไฟน้อยกว่า 15 เมตร แต่จำเลยที่ 2มิได้ปฎิบัติตามกฎหมายดังกล่าว ซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อปกป้องบุคคลอื่นเมื่อฟังว่าจำเลยที่ 2 นำรถไปจอดในที่เกิดเหตุไม่ว่าจะเป็นระยะ2 เมตร ดังที่จำเลยทั้งสองนำสืบ หรือ 1 เมตร ดังที่โจทก์นำสืบก็เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 422 ให้สันนิษฐานว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ผิด กรณีฟังได้ว่าจำเลยที่ 2ทำละเมิดต่อโจทก์แล้ว และเป็นการกระทำในทางการที่จ้างซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดในฐานะเป็นนายจ้างตามมาตรา 425ส่วนจะต้องรับผิดเพียงใดนั้น มาตรา 438 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า”ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด” มาตรา 442 บัญญัติว่า”ถ้าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 223มาใช้บังคับโดยอนุโลม” และมาตรา 223 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า”ถ้าฝ่ายผู้เสียหายได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไซร้ ท่านว่าหนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดนั้น ต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณข้อสำคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร” ตามคำเบิกความของนายสุชีพพนักงานขับรถไฟว่าก่อนเกิดเหตุขับรถไฟมาด้วยความเร็วประมาณ 15 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อแล่นพ้นทางโค้งเห็นบริเวณที่จอดรถของการท่าเรือแห่งประเทศไทยมีรถยนต์บรรทุกจอดอยู่หลายคันแต่มีรถยนต์คันที่เกิดเหตุจอดอยู่ใกล้ทางรถไฟมากกว่าคันอื่น พยานคงขับรถไฟด้วยความเร็วเท่าเดิมต่อไป ส่วนนายประชาช่างเครื่องที่ไปด้วยก็เห็นรถยนต์จอดในระยะประมาณ 20 เมตร เมื่อเข้าไปใกล้ในระยะประมาณ 10 เมตรพยานทั้งสองจึงเห็นว่าไม่อาจขับรถผ่านไปได้โดยไม่เกิดเหตุเฉี่ยวชนกัน นายประชาได้ร้องบอกแก่นายสุชีพ นายสุชีพจึงเปิดหวีดอันตรายพร้อมกับปิดคันบังคับการและลงห้ามล้อฉุกเฉินแต่ไม่อาจหยุดรถไฟได้ทันทีจึงเกิดเหตุขึ้น เห็นว่า ในภาวะเช่นนั้นนายสุชีพย่อมจะต้องคาดหมายได้ว่า อาจจะเกิดการเฉี่ยวชนกับรถยนต์บรรทุกที่จอดอยู่อย่างผิดปกติตั้งแต่เมื่อขับรถไฟผ่านโค้งมาแล้ว ซึ่งตามคำเบิกความของนายสุชีพตอนตอบคำถามค้านของทนายจำเลยทั้งสองว่า ปกติรถไฟที่ใช้ความเร็ว 15 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงจะมีระยะเบรกที่สามารถหยุดรถได้ประมาณ 50 เมตร ในวิสัยของผู้มีหน้าที่ขับรถไฟอยู่ในเส้นทางดังกล่าวมาประมาณ 3 ปี ก่อนเกิดเหตุเช่นนายสุชีพ ย่อมจะต้องทราบว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีรถยนต์บรรทุกแล่นเข้าออกอยู่เป็นประจำ และพฤติการณ์ขณะเกิดเหตุก็เป็นเวลา18 นาฬิกาเศษ น่าจะต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น การที่นายสุชีพขับรถไฟในอัตราความเร็วเท่าเดิมจนถึงระยะที่ไม่อาจหยุดรถก่อนจะถึงที่เกิดเหตุได้ ถือว่านายสุชีพมีความประมาทเลินเล่ออยู่ด้วยส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามความเสียหายที่ด้านซ้ายของรถไฟเพียงเล็กน้อยที่ตะแกรงหน้า แสดงว่าการที่จำเลยที่ 2 นำรถไปจอดนั้นมิใช่อยู่ในลักษณะที่กีดขวางทางรถไฟอย่างชัดแจ้ง จะคาดหวังให้นายสุชีพต้องดำเนินการตามขั้นตอนการหยุดรถตั้งแต่แรกเห็นย่อมจะไม่ได้เพราะรถไฟแล่นมาตามรางซึ่งเป็นทางบังคับ เป็นหน้าที่ของผู้นำรถบรรทุกไปจอดจะต้องระมัดระวังมากกว่า ในส่วนความประมาทเลินเล่อของนายสุชีพจึงมีเพียงเล็กน้อย จำเลยที่ 2 มีส่วนประมาทเลินเล่อมากกว่า ศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยทั้งสองรับผิดสองในสามส่วนของความเสียหายทั้งหมด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 32,712.45 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับแต่วันที่ 2 เมษายน 2535 จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระให้แก่โจทก์เสร็จสิ้น

Share