คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4105/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์พูดห้ามปรามมิให้จำเลยขายที่ดินที่โจทก์ยกให้ จำเลยชี้หน้าด่าโจทก์ด้วยเสียงอันดังว่า “อีเฒ่า หน้าด้าน อีเฒ่า หน้าหมาอีเฒ่า หมาแม่ ไม่นับถือว่ามึงเป็นแม่กูหรอกจะไปตายที่ไหนก็ไปกูบ่ เลี้ยงมึงแล้ว กูจะขายมึงอยากได้ให้ไปฟ้องเอา” การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) อันเป็นการประพฤติเนรคุณที่โจทก์จะเรียกถอนคืนการให้ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยซึ่งเป็นบุตร ต่อมาจำเลยขับไล่ไม่เลี้ยงดูโจทก์ซึ่งชรามากแล้ว และหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงโดยด่าโจทก์ต่อหน้าธารกำนัล ทำให้โจทก์ได้รับความอับอาขายหน้าและเสียชื่อเสียง ขอให้เพิกถอนการให้ ส่งมอบที่ดินคืนกับจดทะเบียนโอนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในที่ดินที่ยกให้
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยด่าว่าโจทก์ดังที่กล่าวในฟ้องโจทก์นำคดีมาฟ้องเพราะพี่ชายจำเลยซึ่งเป็นบุตรคนโตของโจทก์ยุแหย่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ถอนคืนการให้ และให้จำเลยจดทะเบียนโอนใส่ชื่อโจทก์ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์และส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีตัวโจทก์มาเบิกความว่า เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2528 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา โจทก์ไปที่บ้านจำเลยพูดห้ามปรามมิให้จำเลยขายที่ดินที่โจทก์ยกให้ จำเลยได้ชี้หน้าโจทก์และด่าโจทก์ด้วยเสียงอันดังว่า “อีเฒ่าหน้าด้าน อีเฒ่าหน้าหมาอีเฒ่าหมาแม่ ไม่นับถือว่ามึงเป็นแม่กูหรอก จะไปตายที่ไหนก็ไปกูบ่เลี้ยงมึงแล้ว กูจะขาย มึงอยากได้ให้ไปฟ้องเอา” ศาลฎีกาเห็นว่าถ้าจำเลยได้ชี้หน้าและด่าโจทก์ผู้เป็นมารดาด้วยถ้อยคำดังกล่าวจริงการกระทำของจำเลยก็ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) อันเป็นการประพฤติเนรคุณที่โจทก์จะเรียกถอนคืนการให้ที่ดินที่โจทก์ยกให้จำเลยได้ และวินิจฉัยข้อเท็จจริง เชื่อว่า โจทก์ไปพูดห้ามปรามมิให้จำเลยขายที่ดินที่โจทก์ยกให้จึงเกิดโต้เถียงกัน แล้วจำเลยชี้หน้าและด่าโจทก์ด้วยถ้อยคำดังที่ศาลฎีกายกขึ้นกล่าวในข้อนำสืบของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share