แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายภายใน 7 วันถ้าส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ แต่จำเลยมีภูมิลำเนานอกเขตศาลชั้นต้นโจทก์จึงยื่นคำแถลงขอให้ศาลอื่นช่วยส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง โดยโจทก์ชำระค่าส่งเป็นตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ไปให้ ศาลชั้นต้นสั่งจัดการให้และมีหนังสือถึงศาลอื่นขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแทนซึ่งมิได้ระบุว่าโจทก์จะไปนำส่ง จึงเห็นได้ว่าศาลชั้นต้นไม่บังคับให้โจทก์ต้องไปนำส่ง การที่โจทก์ไปติดตามขอทราบผลการส่งหมายถึง 5 ครั้ง และได้รับแจ้งว่าสำนวนไม่อยู่บ้าง สำนวนเสนอผู้พิพากษาบ้างแม้ในวันที่โจทก์ไปยื่นคำร้องคำขอและคำแถลงต่าง ๆ ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นสำนวนจนกระทั่งวันที่ 23 ธันวาคม 2539 โจทก์จึงทราบผลการส่งหมาย หลังจากนั้นโจทก์ไปขอหลักฐานไว้ยื่นคำแถลงขอให้ส่งหมายใหม่ โดยจะยื่นในวันรุ่งขึ้นคือวันที่25 ธันวาคม 2539 อันเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ที่ ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ตั้งแต่วันรับคำฟ้อง ครั้นเมื่อถึงวันนัดหมายโจทก์จึงทราบจากเจ้าหน้าที่ศาลว่าศาลสั่งจำหน่ายคดีไปแล้วดังนี้เห็นได้ว่าโจทก์ขวนขวายติดตามคดี โจทก์มิได้เพิกเฉยหรือละเลยต่อการดำเนินคดี กรณีจึงไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งห้า และขอให้ศาลอื่นช่วยส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแทนศาลชั้นต้นหลังจากศาลอื่นส่งรายงานการเดินหมายคืนศาลชั้นต้นแล้วต่อมาวันที่ 24 ธันวาคม 2539 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อวันที่3 ธันวาคม 2539 โจทก์มายื่นคำร้องคำขอและคำแถลงต่าง ๆถือว่าโจทก์ทราบผลการส่งหมายในวันดังกล่าว ซึ่งปรากฏว่าส่งไม่ได้ แต่โจทก์ไม่ยื่นคำแถลงว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไรใน 7 วัน ตามที่ศาลสั่งไว้ในชั้นรับคำฟ้อง ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่ามีเหตุสมควรสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์หรือไม่ เกี่ยวกับปัญหานี้ในชั้นรับคำฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “ให้โจทก์นำส่งหมายภายใน7 วัน ถ้าส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้”ปรากฏว่าจำเลยทั้งห้าล้วนแต่มีภูมิลำเนาในที่ต่าง ๆ นอกเขตศาลชั้นต้น โจทก์จึงยื่นคำแถลงขอให้ศาลอื่นช่วยส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยโจทก์ชำระค่าส่งเป็นตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ไปให้ ซึ่งแสดงว่าโจทก์จะไม่ไปนำส่งศาลชั้นต้นสั่งจัดการให้โจทก์ และหนังสือของศาลชั้นต้นที่มีถึงศาลต่าง ๆ ขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแทนก็มิได้ระบุว่าโจทก์จะไปนำส่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ไม่ต้องไปนำส่งรายงานการเดินหมายสำหรับจำเลยที่ 1, 3, 4 กลับถึงศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2539 สำหรับจำเลยที่ 2, 5 กลับถึงศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2539 ศาลชั้นต้นไม่ได้แจ้งผลให้โจทก์ทราบศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2539ว่า ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งห้าไม่ได้และหลังจากรายงานการเดินหมายเข้าสำนวนแล้ว โจทก์มายื่นคำร้องคำขอและคำแถลงต่าง ๆ ในวันที่ 3 ธันวาคม 2539กรณีถือได้ว่าโจทก์ได้ทราบผลการส่งหมายแล้วในวันดังกล่าวแต่ไม่ยื่นคำแถลงว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไรใน 7 วันตามคำสั่งศาล ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง จึงให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ การที่ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนี้เห็นได้ชัดเจนว่าไม่บังคับให้โจทก์ต้องไปนำส่งเพราะถ้าโจทก์ต้องไปนำส่งก็ต้องถือว่าโจทก์ทราบผลการส่งหมายตั้งแต่วันที่ส่งไม่ได้นั้นแล้วโดยไม่ต้องรอให้โจทก์ไปรับทราบ เมื่อโจทก์ไปติดต่อราชการศาลดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์ยังคงถือเอาว่าโจทก์ต้องไปนำส่งและต้องแถลงภายใน 7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้นั้น จึงไม่สมด้วยเหตุผล และที่ศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ทราบผลการส่งหมายในวันที่โจทก์ไปติดต่อราชการศาลนั้น เป็นการคาดหมายโดยไม่มีหลักฐาน โจทก์ฎีกาว่าโจทก์ไปติดต่อขอทราบผลถึง 5 ครั้ง ได้รับแจ้งว่าสำนวนไม่อยู่บ้าง สำนวนเสนอผู้พิพากษาบ้าง แม้ในวันที่โจทก์ไปยื่นคำร้องคำขอและคำแถลงต่าง ๆ ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นสำนวนจนกระทั่งวันที่ 23 ธันวาคม 2539 โจทก์จึงทราบผลการส่งหมายหลังจากนั้นโจทก์ไปขอหลักฐานเกี่ยวกับที่อยู่ของจำเลยทั้งห้าดังที่แนบท้ายอุทธรณ์ 5 ฉบับ ทุกฉบับลงวันที่ 24 ธันวาคม 2539อันเป็นวันรุ่งขึ้นจากวันที่โจทก์ทราบผลโจทก์เตรียมหลักฐานดังกล่าวไว้เพื่อยื่นคำแถลงขอให้ส่งหมายใหม่ โดยจะยื่นในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 25 ธันวาคม 2539 อันเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ตั้งแต่วันรับคำฟ้อง ครั้นทนายโจทก์ไปถึงศาลในวันดังกล่าวก็ทราบจากเจ้าหน้าที่ศาลว่าศาลสั่งจำหน่ายคดีไปเมื่อวานนี้ เชื่อได้ว่าโจทก์ขวนขวายติดตามคดีของโจทก์มิได้เพิกเฉยละเลยต่อการดำเนินคดี ไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์
พิพากษายกคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้น และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินคดีต่อไป โดยให้ศาลชั้นต้นแจ้งให้โจทก์แถลงเกี่ยวกับการส่งหมายไม่ได้ภายในเวลาที่กำหนดแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่