แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยและพวกรวม 11 คน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งซึ่งใช้เป็นที่ปลูกบ้านอยู่อาศัย ทางทิศตะวันออกของที่ดินมีทางเดินและสะพานลงสู่แม่น้ำได้โจทก์และชาวบ้านละแวกนั้นใช้เป็นท่าน้ำท่าเรือ ข้ามฟากร่วมกันมานานหลายสิบปี เช่นนี้ การที่จำเลยทำรั้วปิดกั้นทางเดินพิพาท จึงทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมได้รับความเดือดร้อน แม้จำเลยจะมีสิทธิใช้ทรัพย์สินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมได้ แต่การใช้นั้นจะต้องไม่ขัดสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินดังกล่าวผู้หนึ่งด้วย การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วที่จำเลยกั้นไว้แต่โจทก์จะขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้โจทก์มีสิทธิรื้อถอนรั้วที่จำเลยทำไว้ออกเสียโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายไม่ได้ โจทก์ชอบที่จะขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 ทวิ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ จำเลย และบุคคลอื่นอีก ๙ คนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง เจ้าของรวมแต่ละคนใช้ที่ดินดังกล่าวเป็นที่ปลูกบ้านอยู่อาศัยมีทางเดินตามหมู่บ้านตลอดถึงกันหมด ที่ดินที่โจทก์ครอบครองโจทก์มอบให้นางละออง นางสิ้มลิ้มและนางจำนงพี่สาวและน้องสาวของโจทก์ปลูกบ้านอยู่อาศัยและครอบครองแทนโจทก์ ทางทิศตะวันออกของที่ดินมีทางเดินและสะพานไม้แก่นลงในแม่น้ำสุพรรณ เพื่อใช้เป็นท่าน้ำ ท่าเรือสำหรับชาวบ้านข้ามฟาก ต่อมาจำเลยได้ทำรั้วกั้นทางเดินดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์กับพวก ซึ่งเป็นเจ้าของรวมและชาวบ้านไม่สามารถจะเดินผ่านใช้สะพานเป็นท่าน้ำได้ดังเดิม ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่จำเลยกั้นไว้รวมกันยาวประมาณ ๘ วาออกไป ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติขอให้โจทก์มีสิทธิรื้อถอนรั้วที่จำเลยทำไว้ออกเสียได้โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย เพื่อให้โจทก์และบริวารตลอดทั้งชาวบ้านใช้ทางเดินนี้ผ่านไปใช้สะพานเป็นท่าน้ำได้ตามเดิน และห้ามไม่ให้จำเลยและบริวารปิดกั้นอีกต่อไป
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วที่กั้นไว้ (ยาวประมาณ ๘ วา) ออกไปภายใน ๑๕ วัน หากไม่ปฏิบัติก็ให้โจทก์รื้อถอนแทนโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดห้ามจำเลยและบริวารปิดกั้นอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๖๐๐ บาทแทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหามีว่าจำเลยทำรั้วปิดกั้นทางพิพาทเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์หรือไม่ เห็นว่าโจทก์เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลยและพวกในโฉนดที่ดิน โจทก์จะครอบครองเองหรือให้ผู้อื่นยึดถือครอบครองไว้แทนตนก็ได้ดังนั้นการที่โจทก์มอบให้นางละออง นางส้มลิ้มและนางจำนอง (ตามฟ้องเป็นนางจำนง) ครอบครองแทนถือได้ว่าโจทก์ครอบครองที่ดินดังกล่าวอย่างผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม โจทก์จึงมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินเป็นทางเดินลงสู่แม่น้ำสุพรรณการปิดทางพิพาทของจำเลยจึงทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมได้รับความเดือดร้อน แม้จำเลยจะมีสิทธิใช้ทรัพย์สินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมได้ แต่การใช้นั้นจะต้องไม่ขัดต่อสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินดังกล่าวผู้หนึ่งด้วยการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า ถ้าจำเลยไม่รื้อถอนรั้วที่จำเลยกั้นไว้ ก็ให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้น เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่๑๐) พ.ศ. ๒๕๒๗ เพิ่มเติมบทมาตรา ๒๙๖ ทวิ แล้ว โจทก์ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการ จะขอรื้อถอนเองมิได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอในส่วนที่ให้โจทก์รื้อถอนรั้วที่จำเลยกั้นไว้ (ยาวประมาณ ๘ เมตร) โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๖๐๐ บาทแทนโจทก์.