คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 410/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายชำระหนี้แก่จำเลยโจทก์จึงต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ผิดนัด คือวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย การที่โจทก์ได้ชำระเฉพาะต้นเงินตามเช็คให้แก่จำเลยเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยมิได้ชำระให้เสร็จสิ้น ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้โจทก์รับผิดตามที่จำเลยฟ้องแย้งเป็นเงิน 432,697 บาท นั้นแม้เงินที่โจทก์จะต้องรับผิดจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้เงิน และการที่โจทก์ไม่ยอมชำระทำให้จำเลยเสียหาย แต่หนี้ดังกล่าวก็เป็นหนี้เงินในส่วนที่เป็นดอกเบี้ยมิใช่หนี้เงินส่วนที่เป็นต้นเงิน จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์โดยคิดเป็นดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี ของหนี้เงินดังกล่าวได้อีก เพราะมีลักษณะเป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดซึ่งต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณกลางปี 2539 โจทก์ได้สั่งซื้ออาหารสัตว์จากจำเลยและจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 14477 เป็นประกันหนี้การซื้อสินค้าดังกล่าว ต่อมาโจทก์สั่งจ่ายเช็คชำระค่าสินค้าให้แก่จำเลยรวม 13 ฉบับ เป็นเงิน 1,849,182 บาท แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยจึงฟ้องในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โจทก์ตกลงผ่อนชำระหนี้ตามเช็คให้แก่จำเลยจนครบ จำเลยจึงถอนฟ้องคดีดังกล่าว หลังจากนั้นโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินที่จำนองและปลดจำนองให้แก่โจทก์แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยคืนโฉนดที่ดินที่จำนองแก่โจทก์โดยปลอดจำนอง หากไม่คืนให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกโฉนดที่ดินฉบับเดิมและให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดใบแทนโฉนดฉบับเดิมโดยปลอดจำนองแก่โจทก์โดยให้โจทก์ถือคำสั่งศาลไปดำเนินการดังกล่าวได้ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายอัตราเดือนละ 10,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะคืนโฉนดที่ดินและปลดจำนองให้แก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากโจทก์ตกลงจะผ่อนชำระหนี้ตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยให้แก่จำเลย แต่ต่อมาโจทก์ไม่ยอมชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระอยู่ 467,417 บาท จำเลยทวงถามแล้วแต่โจทก์เพิกเฉย ขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชำระเงิน 467,417 บาท พร้อมค่าเสียหายคิดเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ถ้าได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของโจทก์ออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ชำระหนี้ตามเช็คให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วและชำระเกินไป 40,000 บาทเศษ หนี้ดอกเบี้ยตามฟ้องแย้งขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระเงิน 432,697 บาท แก่จำเลย หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ ถ้าได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของโจทก์ออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ (ที่ถูกจำเลย) ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า จำเลยมีสิทธิเรียกค่าเสียหายซึ่งคิดเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 432,697 บาท ได้หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชำระดอกเบี้ยเป็นเงิน 432,697 บาท แล้วเงินจำนวนดังกล่าวจึงเป็นหนี้เงินที่กำหนดจำนวนแน่นอนซึ่งโจทก์มีหน้าที่ต้องชำระแก่จำเลย แต่โจทก์ก็ไม่ยอมชำระ ถือว่าโจทก์ผิดนัดทำให้จำเลยเสียหาย โจทก์จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 432,697 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เห็นว่า เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายชำระหนี้แก่จำเลยรวม 13 ฉบับ โจทก์ก็ต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัด คือวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแต่ละฉบับจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ได้ชำระเฉพาะต้นเงินตามเช็คให้แก่จำเลยเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยมิได้ชำระให้เสร็จสิ้น ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้โจทก์รับผิดตามที่จำเลยฟ้องแย้งเป็นเงิน 432,697 บาท แม้เงินที่โจทก์จะต้องรับผิดจำนวนดังกล่าวเป็นหนี้เงินและการที่โจทก์ไม่ยอมชำระทำให้จำเลยเสียหายก็ตาม แต่หนี้ดังกล่าวก็เป็นหนี้เงินในส่วนที่เป็นดอกเบี้ยมิใช่หนี้เงินส่วนที่เป็นต้นเงิน จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากโจทก์โดยคิดเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของหนี้เงินดังกล่าวได้อีกเพราะมีลักษณะเป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดซึ่งต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นยังมิได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องเดิมระหว่างโจทก์กับจำเลย ศาลฎีกาจึงสั่งให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องเดิมในศาลชั้นต้นและค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share