คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้งัดแงะประตูหน้าถังร้านของผู้เสียหายแล้ว ในร้านนั้นมีของมีค่าเก็บไว้เป็นจำนวนมาก ตำรวจมาพบเห็นจำเลยเข้า จำเลยจึงทำการลักทรัพย์ไม่ตลอด การกระทำของจำเลยเข้าขั้นพยายามลักทรัพย์แล้ว (ไม่ใช่บุกรุก)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยงัดแงะหน้าถังร้านของนายเกษเพื่อจะเข้าไปลักทรัพย์ แต่จำเลยกระทำไปไม่ตลอด เพราะตำรวจเห็นและเข้าจับกุมจำเลย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ ให้จำคุก ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าไม่มีความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ หากจะมีความผิด ก็เป็นความผิดฐานบุกรุก
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงศาลล่างฟังเป็นยุติแล้วว่า คืนเกิดเหตุเวลา ๒ นาฬิกาจ่าสิบตำรวจพิจิตร สิบตำรวจเอกดีออกตรวจท้องที่ แลเห็นจำเลยยืนอยู่หน้าประตูหน้าบ้านนายเกษผู้เสียหาย โดยก้ม ๆ มอง ๆ และทำท่าเปิดประตูบ้าน จ่าสิบตำรวจพิจิตรถามไปว่า “ใครทำอะไร” จำเลยเหลียวดูแล้ววิ่งหนีไป จ่าสิบตำรวจปานแลเห็นจำเลยวิ่งมาก็จับไว้ได้ และได้เหล็กงัดแงะ ๑ เล่ม และมีดพับ ๑ เล่มจากจำเลย ก็ยึดไว้เป็นของกลาง แต่ระหว่างนั้นจำเลยสะบัดมือวิ่งหนีไปได้ ตำรวจตรวจประตูบ้านผู้เสียหาย ปรากฏว่ามีรอยงัดแงะใหม่ ๆ และในบ้านผู้เสียหายมีทรัพย์เก็บอยู่หลายหมื่นบาท ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ลงมือกระทำการลักทรัพย์แล้ว แต่ที่เข้าไปลักทรัพย์ไม่บรรลุผล ก็โดยมีเหตุมาขัดขวางไว้ เพราะตำรวจสายตรวจมาพบจำเลยเข้าเสียก่อน จำเลยจึงทำการลักทรัพย์ไม่ตลอด การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดเข้าขั้นพยายามลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๘๐ แล้ว ไม่ใช่ความผิดฐานบุกรุกดังที่จำเลยฎีกา ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน.

Share