แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ไม่ได้บรรยายว่า จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินของโจทก์เป็นค่าสินค้าอะไรบ้าง แต่ละรายการเป็นเงินเท่าใด และเรียกเก็บเงินดังกล่าวจากลูกค้าคนใดของโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นจึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสองประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31 เมื่อเป็นคดีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่มิได้อุทธรณ์ด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245(1) ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ ตำแหน่งพนักงานขายมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 ไม่นำส่งเงินค่าสินค้าโดยยักยอกเงินค่าสินค้าของโจทก์ไปจำนวน 360,065.86 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 379,228.26 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นลูกจ้างโจทก์หากจำเลยที่ 1 ปฏิบัติงานให้โจทก์ก็อยู่ในระหว่างทดลองงานจึงไม่มีหน้าที่ในการเก็บเงิน จำเลยที่ 2 ได้รับแจ้งจากโจทก์เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2535 ว่าจำเลยที่ 1 พ้นจากการเป็นลูกจ้างโจทก์จำเลยที่ 2 จึงทำหนังสือแจ้งยกเลิกการค้ำประกันกับโจทก์แล้วฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินค่าสินค้าอะไรรับเงินมาจากร้านค้าใด เป็นเงินจำนวนเท่าใดขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน360,065.86 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงาน วินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องใน ข้อ 2 ว่า จำเลยนำใบเสร็จรับเงินที่ลูกค้าของโจทก์สั่งซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อในเดือนมิถุนายน 2535ไปเรียกเก็บเงินจากลูกค้าของโจทก์ในเขตจังหวัดลำปางแล้วยักยอกเงินไปเป็นของตน รวมเป็นเงิน 360,065.86 บาท ในวันที่ 26 มิถุนายน2535 ครบกำหนดจำเลยที่ 1 นำส่งค่าสินค้าแก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 1ไม่นำส่งเงินค่าสินค้า แต่ทิ้งงานและเอาเงินค่าสินค้าไป โดยไม่ได้บรรยายว่า จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินของโจทก์เป็นค่าสินค้าอะไรบ้าง แต่ละรายการเป็นเงินเท่าใด และเรียกเก็บเงินดังกล่าวจากลูกค้าคนใดของโจทก์ ฟ้องของโจทก์จึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นจึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 สำหรับอุทธรณ์ข้ออื่นที่ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือไม่จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไป อุทธรณ์จำเลยที่ 2ฟังขึ้น และเมื่อคดีนี้เป็นคดีเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1ที่มิได้อุทธรณ์ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245(1) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์