คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4093/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินแปลงหนึ่งต่างฟ้องกันขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามทิศทางที่อ้างว่าได้ตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่พิพาทเป็นส่วนสัดแล้ว แม้จะได้ความว่าโจทก์จำเลยยังมิได้ตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเป็นส่วนสัดกันอันมิได้เป็นไปตามข้ออ้างในคำฟ้องของแต่ละฝ่ายก็ตาม การที่โจทก์และจำเลยต่างยื่นฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมก็เท่ากับมีความประสงค์จะแบ่งที่พิพาทแล้วจึงแบ่งที่พิพาทให้ตามที่แต่ละฝ่ายมีสิทธิ์ได้
โจทก์จำเลยต่างปลูกบ้านเรือนไว้บนที่พิพาท การแบ่งกรรมสิทธิ์รวมศาลย่อมให้แบ่งตามส่วนที่แต่ละฝ่ายและตามทิศทางที่ต่างได้ครอบครอง ทั้งนี้เพื่อมิให้เกิดความเสียหายจากการแบ่งกัน หากไม่ตกลงกัน จึงให้ขายโดยประมูลราคากันเองหรือขายทอดตลาด

ย่อยาว

สำนวนแรกโจทก์ทั้งเก้าฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๖๔๑ โดยโจทก์ที่ ๑ มีกรรมสิทธิ์เนื้อที่ ๖ ไร่เศษ ครอบครองเป็นส่วนสัดทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดคลองชลประทานยาวตลอดแนวไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จำเลยครอบครองด้านติดคลองชลประทานยาวตลอดแนวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน โจทก์ที่ ๑ แบ่งขายที่ดินส่วนของโจทก์ที่ ๑ ให้โจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๙ โจทก์ทั้งเก้าขอให้จำเลยแบ่งแยก แต่จำเลยไม่แบ่งแยก ขอให้ศาลพิพากษาแบ่งแยกตามที่ครอบครอง หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์และได้ครอบครองที่ดินมากกว่าที่โจทก์ฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังจำเลยฟ้องว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๖๔๑ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๕๐ ตารางวาเศษ ได้ครอบครองเป็นส่วนสัดมา ๑๐ ปีเศษแล้ว ต่อมาโจทก์แบ่งขายที่ดินให้ผู้อื่นและไม่ยอมแบ่งแยกที่ดินให้จำเลยตามที่จำเลยครอบครอง ขอให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินตามเนื้อที่ที่จำเลยครอบครองดังกล่าว หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเพียง ๑ ไร่ ๒ งาน ครอบครองที่ดินตั้งแต่บริเวณคลองชลประทานยาวตลอดแนวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นอกนั้นเป็นของโจทก์ โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทเป็นส่วนสัด จำเลยไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ ๑ และจำเลยไม่ได้แบ่งแยกครอบครองเป็นส่วนสัด พิพากษายกฟ้องทั้งสองสำนวน
จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์และจำเลยยังไม่ได้ตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่พิพาทและได้ครอบครองเป็นส่วนสัด แล้ววินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ที่ ๑ และจำเลยต่างฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเท่ากับมีความประสงค์จะแบ่งกรรมสิทธิ์ทั้งสองฝ่ายแล้ว จึงสมควรให้แบ่งที่พิพาทตามที่แต่ละฝ่ายมีสิทธิไปทีเดียว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๓๔.๒๘ ตารางวา โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๙ มีกรรมสิทธิ์รวมเนื้อที่ ๖ ไร่ ๕.๗๒ ตารางวา แต่ปรากฏว่าโจทก์ที่ ๑ และจำเลยต่างได้เข้าไปปลูกบ้านเรือนไว้บนที่พิพาท อาจจะเสียหายจากการแบ่งได้ จึงเห็นสมควรให้แบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่พิพาทโดยให้โจทก์ที่ ๑ และจำเลยได้ตามส่วนที่แต่ละฝ่ายและตามทิศทางที่ต่างได้ครอบครอง
พิพากษากลับ ให้โจทก์และจำเลยร่วมกันดำเนินการขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๖๔๑ โดยให้จำเลยได้รับส่วนแบ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๓๔.๒๘ ตารางวาให้โจทก์ได้รับส่วนที่เหลือรวมทั้งที่ซึ่งได้ปลูกบ้านเรือนเนื้อที่ ๖ ไร่ ๕.๗๒ ตารางวา หากไม่ตกลงกัน จึงให้ขายโดยประมูลราคากันระหว่างเจ้าของรวมหรือขายทอดตลาด.

Share