แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินแปลงหนึ่งต่างฟ้องกันขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามทิศทางที่อ้างว่าได้ตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่พิพาทเป็นส่วนสัดแล้ว แม้จะได้ความว่าโจทก์จำเลยยังมิได้ตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเป็นส่วนสัดกันอันมิได้เป็นไปตามข้ออ้างในคำฟ้องของแต่ละฝ่ายก็ตาม การที่โจทก์และจำเลยต่างยื่นฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมก็เท่ากับมีความประสงค์จะแบ่งที่พิพาทแล้วจึงแบ่งที่พิพาทให้ตามที่แต่ละฝ่ายมีสิทธิ์ได้ โจทก์จำเลยต่างปลูกบ้านเรือนไว้บนที่พิพาท การแบ่งกรรมสิทธิ์รวมศาลย่อมให้แบ่งตามส่วนที่แต่ละฝ่ายและตามทิศทางที่ต่างได้ครอบครอง ทั้งนี้เพื่อมิให้เกิดความเสียหายจากการแบ่งกัน หากไม่ตกลงกัน จึงให้ขายโดยประมูลราคากันเองหรือขายทอดตลาด.
ย่อยาว
สำนวนแรกโจทก์ทั้งเก้าฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 3641 โดยโจทก์ที่ 1 มีกรรมสิทธิ์เนื้อที่ 6 ไร่เศษ ครอบครองเป็นส่วนสัดทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดคลองชลประทานยาวตลอดแนวไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จำเลยครอบครองด้านติดคลองชลประทานยาวตลอดแนวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน โจทก์ที่ 1แบ่งขายที่ดินส่วนของโจทก์ที่ 1 ให้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 9โจทก์ทั้งเก้าขอให้จำเลยแบ่งแยก แต่จำเลยไม่แบ่งแยก ขอให้ศาลพิพากษาแบ่งแยกตามที่ครอบครอง หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์และได้ครอบครองที่ดินมากกว่าที่โจทก์ฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังจำเลยฟ้องว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่3641 เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 50 ตารางวาเศษ ได้ครอบครองเป็นส่วนสัดมา10 ปีเศษแล้ว ต่อมาโจทก์แบ่งขายที่ดินให้ผู้อื่นและไม่ยอมแบ่งแยกที่ดินให้จำเลยตามที่จำเลยครอบครอง ขอให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินตามเนื้อที่ที่จำเลยครอบครองดังกล่าว หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเพียง1 ไร่ 2 งาน ครอบครองที่ดินตั้งแต่บริเวณคลองชลประทานยาวตลอดแนวไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นอกนั้นเป็นของโจทก์ โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทเป็นส่วนสัด จำเลยไม่เคยเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน ขอให้ยกฟ้อ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 และจำเลยไม่ได้แบ่งแยกครอบครองเป็นส่วนสัด พิพากษายกฟ้องทั้งสองสำนวน
จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์และจำเลยยังไม่ได้ตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่พิพาทและได้ครอบครองเป็นส่วนสัด แล้ววินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์ที่ 1 และจำเลยต่างฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเท่ากับมีความประสงค์จะแบ่งกรรมสิทธิ์ทั้งสองฝ่ายแล้ว จึงสมควรให้แบ่งที่พิพาทตามที่แต่ละฝ่ายมีสิทธิไปทีเดียว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน34.28 ตารางวา โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 9 มีกรรมสิทธิ์รวมเนื้อที่ 6 ไร่5.72 ตารางวา แต่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 1 และจำเลยต่างได้เข้าไปปลูกบ้านเรือนไว้บนที่พิพาท อาจจะเสียหายจากการแบ่งได้ จึงเห็นสมควรให้แบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่พิพาทโดยให้โจทก์ที่ 1และจำเลยได้ตามส่วนที่แต่ละฝ่ายและตามทิศทางที่ต่างได้ครอบครอง
พิพากษากลับ ให้โจทก์และจำเลยร่วมกันดำเนินการขอแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 3641 โดยให้จำเลยได้รับส่วนแบ่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เนื้อที่ 1 ไร่ 2 งาน 34.28 ตารางวาให้โจทก์ได้รับส่วนที่เหลือรวมทั้งที่ซึ่งได้ปลูกบ้านเรือนเนื้อที่6 ไร่ 5.72 ตารางวา หากไม่ตกลงกัน จึงให้ขายโดยประมูลราคากันระหว่างเจ้าของรวมหรือขายทอดตลาด.