แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ราคารถยนต์คันที่เช่าซื้อที่ยังขาดจำนวนเป็นค่าเสื่อมราคาอันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายซึ่งผู้เช่าซื้อจะรับผิดชอบก็ต่อเมื่อผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ การที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์คันที่เช่าซื้อไปคืนให้แก่โจทก์เป็นเพราะความผิดของโจทก์เองที่ไม่ยอมต่อทะเบียนรถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 1 ไม่สามรถนำไปรับจ้างหาประโยชน์ได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573ซึ่งคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 และเมื่อสัญญาเลิกกันโดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาแล้วโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกราคารถยนต์ที่ยังขาดจากจำเลยที่ 1
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน852,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ซื้อรถยนต์ตามฟ้องมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัดเฮียบหงวนมอเตอร์ ในราคา 640,000 บาทชำระเงินล้วงหน้า 100,000 บาท ได้นำรถยนต์ไปต่อกระบะบรรทุกเป็นเงิน 70,000 บาท หลังจากนั้นจึงทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์และชำระค่าเช่าซื้อหลายคราว ไม่ตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญา แต่โจทก์รับชำระไว้โดยมิได้อิดเอื้อน ต่อมาวันที่12 พฤษภาคม 2535 จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์คืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยจึงไม่ต้องชำระค่าใช้จ่ายในการติดตามรถยนต์แก่โจทก์ โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อรถยนต์ของโจทก์ไปตามฟ้องราคา 1,170,384 บาทชำระเดือนละ 24,383 บาท รวม 48 งวด โดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันและยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 8 พฤษภาคม 2534 หลังจากทำสัญญาแล้วจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์รวม 3 งวด เป็นเงิน 73,149 บาทหลังจากนั้นไม่ได้ชำระและวันที่ 12 พฤษภาคม 2535 จำเลยที่ 1ได้นำรถคันที่เช่าซื้อไปคืนให้แก่โจทก์โดยที่โจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญา โจทก์รับคืนรถคันที่เช่าซื้อไว้โดยไม่อิดเอื้อนและวันที่ 26 พฤศจิกายน 2535 โจทก์ได้ประมูลขายรถยนต์คันดังกล่าวไปในราคา 429,906.54 บาท และอ้างว่าได้ราคาน้อยกว่าราคาตามสัญญาจำนวน 667,328.46 บาท แต่โจทก์ขอเรียกเพียง667,000 บาท เห็นว่าเงินจำนวนที่โจทก์เรียกร้องมาเป็นค่าเสื่อมราคาอันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าเสียหายที่ค่าเสียหายดังกล่าวจำเลยที่ 1 จะรับผิดชอบก็ต่อเมื่อเกิดจากการที่จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดสัญญา สำหรับคดีนี้จำเลยที่ 1 นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถนำรถยนต์ออกไปรับจ้างหาประโยชน์ได้เนื่องจากโจทก์ไม่ยอมต่อทะเบียนให้จึงได้นำรถยนต์คันที่เช่าซื้อไปคืนให้แก่โจทก์ ซึ่งปัญหานี้โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นจึงฟังได้ว่า การที่จำเลยที่ 1 นำรถยนต์คันที่เช่าซื้อไปคืนให้แก่โจทก์เป็นความผิดของโจทก์เองที่ไม่ยอมต่อทะเบียนรถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อจำเลยที่ 1 จะได้นำไปรับจ้างหาประโยชน์ได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 ซึ่งคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 เมื่อสัญญาเลิกกันโดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาแล้วโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกราคารถยนต์ที่ยังขาดจำนวน667,000 บาท จากจำเลยที่ 1
พิพากษายืน