คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา169ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นกำหนดให้อายุความเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไปเมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทกำหนดไว้ชัดเจนว่าผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์เมื่อทวงถามดังนั้นวันถึงกำหนดใช้เงินของตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทจึงหมายถึงวันที่โจทก์ทวงถามให้ใช้เงินตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา9013(3)หาใช่ถึงกำหนดใช้เงินในวันออกตั๋วไม่ทั้งได้มีการทวงถามให้ผู้ออกตั๋วและจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้รับอาวัลชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทแล้วอายุความจึงไม่อาจเริ่มนับจากวันที่ออกตั๋วได้ ในหนังสือบอกกล่าวทวงถามของโจทก์ได้ให้เวลาจำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้เสร็จสิ้นภายใน7วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าวหมายความว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะเรียกให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดเวลานั้นหาได้ไม่แต่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นได้หากพ้นกำหนดดังกล่าวแล้วไม่ชำระก็ถือว่าจำเลยทั้งสี่ผิดนัดโจทก์อาจบังคับให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทในฐานะผู้รับอาวัลได้นับแต่วันครบกำหนดตามหนังสือทวงถามแล้วเป็นต้นไปวันครบกำหนด7วันตามหนังสือทวงถามคือวันที่19กันยายน2533อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่20กันยายน2533เป็นต้นไปหาใช่เริ่มนับแต่วันที่จำเลยทั้งสี่ได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามไม่เมื่อโจทก์ฟ้องคดีวันที่14กันยายน2536ยังไม่ครบกำหนด3ปีคดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1001

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า บริษัทเงินทุนพานิช จำกัดได้ยืมเงินไปจากโจทก์โดยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ทุกครั้งเพื่อเป็นการชำระหนี้ โดยมีจำเลยทั้งสี่ลงชื่อเป็นอาวัลได้ที่ด้านหน้าตั๋วสัญญาใช้เงิน ต่อมาบริษัทเงินทุนพานิชจำกัด ไม่ใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามบริษัทเงินทุนพานิช จำกัด และจำเลยทั้งสี่แล้วแต่เพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ชำระหนี้เงินจำนวน 1,286,593,749.94 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน168,021,000 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 379,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยทั้งสี่เป็นผู้อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องของโจทก์จริง แต่ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวโจทก์นำมาฟ้องเมื่อขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,286,593,94 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี ของต้นเงิน 168,021,000 บาท และอัตราร้อยละ13.5 ต่อปี ของต้นเงิน 379,000,000 บาท นับจากวันที่15 กันยายน 2536 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย ทั้ง สี่ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สี่ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าโจทก์เป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินจำนวน 3 ฉบับมีบริษัทเงินทุนพานิช จำกัด เป็นผู้ออกตั๋วและจำเลยทั้งสี่เป็นผู้รับอาวัลลงวันที่ออกตั๋ววันที่ 19 ธันวาคม 2539 ถึงกำหนดใช้เงินเมื่อทวงถาม ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.40 จ41 และ 42โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 7 กันยายน 2533 ไปยังบริษัทเงินทุนพานิชจำกัด และจำเลยทั้งสี่โดยกำหนดให้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าวบริษัทเงินทุนพานิช จำกัด และจำเลยทั้งสี่ได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2533 แต่ไม่ชำระหนี้โจทก์จึงฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2536
พิเคราะห์แล้วมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่าอายุความตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาททั้งสามฉบับต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ออกตั๋วคือวันที่ 19 ธันวาคม 2529 หรือมิฉะนั้นก็ต้องนับแต่วันที่โจทก์ทวงถามมายังจำเลยทั้งสี่คือวันที่ 12 กันยายน 2533โจทก์มาฟ้องเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2536 เกิน 3 ปี คดีจึงขาดอายุความ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 169ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น บัญญัติว่า “อันอายุความนั้นท่านให้นับเริ่มแต่ขณะที่จะอาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป” ตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาททั้งสามฉบับได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าผู้ออกตั๋วสัญญาจะใช้เงินแก่โจทก์เมื่อทวงถาม ดังนั้น วันถึงกำหนดใช้เงินของตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทหมายถึงวันที่โจทก์ทวงถามให้ใช้เงินตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 913(3)หาใช่หมายถึงกำหนดใช้เงินในวันออกตั๋วคือวันที่ 19 ธันวาคม 2529 ไม่ทั้งกรณีนี้ได้มีการทวงถามให้ผู้ออกตั๋วและจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้รับอาวัลชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทแล้ว อายุความจึงไม่อาจเริ่มนับจากวันที่ออกตั๋ว ส่วนอายุความจะเริ่มนับแต่วันที่จำเลยทั้งสี่ได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์หรือไม่นั้นศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ในหนังสือบอกกล่าวทวงถามของโจทก์ได้ให้เวลาจำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าวอันเป็นระยะเวลาพอสมควร ซึ่งหมายความว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะเรียกให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดเวลานั้นหาได้ไม่แต่จำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นได้หากพ้นกำหนดดังกล่าวแล้วไม่ชำระก็ถือว่าจำเลยทั้งสี่ผิดนัดโจทก์อาจบังคับให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินพิพาทในฐานะผู้รับอาวัลได้ นับแต่วันครบกำหนดตามหนังสือทวงถามแล้วเป็นต้นไป วันครบกำหนด 7 วัน ตามหนังสือทวงถามคือวันที่19 กันยายน 2533 อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1001 จึงเริ่มนับแต่วันที่ 20 กันยายน 2533 เป็นต้นไปหาใช้เริ่มนับแต่วันที่จำเลยทั้งสี่ได้รับหนังสือทวงถามไม่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2536 ยังไม่ครบกำหนด 3 ปีคดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1001 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share