คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3961/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1533 การจะแบ่งสินสมรสได้ต้องมีการหย่ากันเท่านั้น เมื่อไม่มีการหย่าแม้คู่สมรสจะจำหน่ายสินสมรสไปเพื่อประโยชน์ของตนแต่ฝ่ายเดียว มาตรา 1534 ก็ให้ถือเสมือนว่าทรัพย์สินนั้นคงมีอยู่เพื่อจัดแบ่งสินสมรสตามมาตรา 1533 กฎหมายมิได้มุ่งประสงค์ให้แบ่งสินสมรสกันได้หากคู่สมรสยังเป็นสามีภริยากันอยู่ ฉะนั้น แม้โจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนรถยนต์สินสมรสแต่ปัญหาชั้นฎีกามีเพียงคำขอของโจทก์ให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ซึ่งเป็นคำขอแบ่งสินสมรสเท่านั้น เมื่อกฎหมายให้ถือเสมือนว่ารถยนต์ยังคงมีอยู่เพื่อจัดแบ่งสินสมรส โจทก์ก็ไม่ได้รับความเสียหาย จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินที่ได้จากการขายรถยนต์พิพาท.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยจดทะเบียนสมรส เดิมจำเลยที่ 1 รับราชการจนปี 2522 จึงลาออกจากราชการและไปทำงานที่โรงงานอยู่ที่อำเภอกระทุ่มแบน จำเลยที่ 1 ได้นำรถยนต์ยี่ห้อวอลโว่ หมายเลขทะเบียน 7ข-8812 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสินสมรสไปด้วย และโอนขายรถยนต์ดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ไปโดยปราศจากความยินยอมของโจทก์ และจำเลยที่ 2 กระทำการไม่สุจริตขอให้เพิกถอนการโอนรถยนต์ยี่ห้อวอลโว่ หมายเลขทะเบียน 7ข-8812กรุงเทพมหานคร ระหว่างจำเลยทั้งสอง และให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่โจทก์หรือให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 25,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนการโอนรถยนต์พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้ เพราะรถยนต์พิพาทเป็นเครื่องใช้ส่วนตัวที่จำเป็นในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพของจำเลยที่ 1 นอกจากนี้รถยนต์พิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจจำหน่ายรถยนต์พิพาทได้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์แม้จะฟังว่ารถยนต์พิพาทเป็นสินสมรส โจทก์ก็ไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนการโอนได้ เนื่องจากเป็นการขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดา ซึ่งกฎหมายมิได้บังคับว่าการจำหน่ายจะต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งจำเลยที่ 1 จำหน่ายรถยนต์พิพาทให้จำเลยที่ 2 ก็เป็นการกระทำโดยสุจริต มีค่าตอบแทน ส่วนเงินขายรถยนต์พิพาท 50,000 บาท จำเลยที่ 1 นำไปชำระหนี้ที่เกิดขึ้นระหว่างสมรส โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน25,000 บาท เพราะเป็นการฟ้องแบ่งสินสมรส ซึ่งโจทก์จะฟ้องได้ต่อเมื่อได้มีการหย่ากันเสียก่อน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า รถยนต์พิพาทไม่ใช่สินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 แต่เป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2ไม่ได้ซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 ซื้อจากตลาดนัดรถยนต์สหมิตร ซึ่งเป็นสถานที่ซื้อขายและรับแลกเปลี่ยนรถยนต์ และจำเลยที่ 1 ได้ขายรถยนต์พิพาทให้ตลาดนัดรถยนต์ดังกล่าวจำเลยที่ 2 ซื้อมาด้วยความสุจริตและเสียค่าตอบแทนโดยสมควรแก่ราคาและประโยชน์ที่ได้รับ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 25,000บาท พร้อมกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 29 มกราคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ในข้อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกร้องเงินที่ได้จากการขายรถยนต์พิพาทครึ่งหนึ่งจำนวน 25,000 บาท จากจำเลยที่ 1 หรือไม่เห็นว่า เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังเป็นสามีภริยากันอยู่และไม่ปรากฏว่าได้ทำสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อนสมรสความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ในเรื่องทรัพย์สินนั้น จึงต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 หมวด 4 ว่าด้วยทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 บัญญัติว่า เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน และมาตรา 1534 บัญญัติว่า สินสมรสที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจำหน่ายไปเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียวก็ดี จำหน่ายไปโดยเจตนาทำให้คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งเสียหายก็ดี จำหน่ายไปโดยมิได้รับความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีที่กฎหมายบังคับว่าการจำหน่ายนั้นจะต้องได้รับความยินยอมของอีกฝ่ายหนึ่งด้วยก็ดี จงใจทำลายให้สูญหายไปก็ดี ให้ถือเสมือนว่าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่เพื่อจัดแบ่งสินสมรสตามมาตรา 1533 จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่าการที่จะแบ่งสินสมรสได้เมื่อมีการหย่ากันเท่านั้น และแม้คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะจำหน่ายสินสมรสไปเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียวหรือในกรณีอื่นตามที่มาตรา 1534 บัญญัติไว้กฎหมายก็ให้ถือเสมือนว่าทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่เพื่อจัดแบ่งสินสมรส แสดงว่ากฎหมายมิได้มุ่งประสงค์ให้แบ่งสินสมรสกันได้หากคู่สมรสยังเป็นสามีภริยากันอยู่ และกรณีตามคำฟ้องของโจทก์ แม้โจทก์จะฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนรถยนต์ยี่ห้อวอลโว่ ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ก็ตามแต่ปัญหาชั้นฎีกาก็มีเพียงคำขอของโจทก์ที่ว่าให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 25,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ซึ่งเป็นคำขอแบ่งสินสมรสเท่านั้น เมื่อกฎหมายให้ถือเสมือนว่ารถยนต์ยี่ห้อวอลโว่ยังคงมีอยู่เพื่อจัดแบ่งสินสมรสแล้ว โจทก์ก็ไม่ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกร้องเงินที่ได้จากการขายรถยนต์พิพาท คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share