คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2705/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ซื้อที่ดิน น.ส.3 จาก ส.มาจัดสรรขาย ที่พิพาทเป็นที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งจำเลยที่ 1 ขายให้แก่ผู้มีชื่อและโอนขายต่อมาจนกระทั่งถึงโจทก์ โดยโจทก์ซื้อไว้เมื่อ พ.ศ.2510 แล้วครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมา ดังนี้ โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่พิพาท การที่จำเลยที่ 2 นำใบมอบอำนาจของ ส. ไปขอรังวัดออกโฉนดและจดทะเบียนขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 3 อีกในระหว่าง พ.ศ.2515-2516 จึงไม่อาจกระทำได้เพราะ ส. ไม่มีสิทธิอย่างใดในที่พิพาทแล้วการที่จำเลยที่ 2 ไปขอออกโฉนดสำหรับที่พิพาทแล้วจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 3 โดยอาศัยใบมอบอำนาจของ ส. จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดิน น.ส.3 จากนายโสภณ แล้วจัดสรรแบ่งเป็นแปลงย่อยขาย ที่พิพาทเป็นที่แปลงหนึ่งซึ่งจำเลยที่ 1 จัดสรรขายให้นางศิริพรแล้ว นางศิริพรขายต่อมาจนถึงโจทก์ โดยโจทก์จดทะเบียนซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2510 และโจทก์ครอบครองตลอดมา ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2515 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจของนายโสภณไปทำการรังวัดออกโฉนดที่แปลงพิพาท แล้วต่อมาจำเลยที่ 2 ปลอมหนังสือมอบอำนาจของนายโสภณโอนขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 3 โดยจำเลยทั้งสามร่วมกันนำหลักฐานดังกล่าวไปจดทะเบียนขอให้ศาลพิพากษาว่าหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นโมฆะ และทำลายนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างนายโสภณกับจำเลยที่ 3 ตลอดจนการออกโฉนดที่พิพาท กับให้ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่าไม่เคยขายที่พิพาทให้นางศิริพร และไม่เคยปลอมใบมอบอำนาจของนายโสภณ โจทก์ไม่เคยครอบครองที่พิพาท ไม่มีสิทธิขอให้ทำลายการออกโฉนด

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า นายโสภณได้ขายที่ดินให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และผู้มีชื่ออีกหลายคนโดยร่วมกันเป็นหุ้นส่วนจัดเป็นแปลงย่อยแบ่งกัน ที่พิพาทเป็นที่ดินที่เหลือจากหุ้นส่วนได้รับไปแล้ว จึงยังเป็นของนายโสภณ จำเลยที่ 1ไม่มีสิทธินำไปขายให้นางศิริพร นายโสภณมีสิทธิมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2โอนขายให้จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้ครอบครองที่พิพาทแต่ผู้เดียว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าจำเลยที่ 3หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว โจทก์เบิกความว่าเดิมนางศิริพรซื้อที่ดินจัดสรรจากจำเลยที่ 1 มารวม 2 แปลงติดต่อกัน ต่อมานางศิริพรได้ขายให้นายเพชรทั้ง 2 แปลงแล้วนายเพชรขายต่อให้โจทก์ 1 แปลงคือที่พิพาทนี้เมื่อ พ.ศ. 2510 และขายให้นางสาวลัดดาอีกแปลงหนึ่ง ที่พิพาทมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของ ดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2 โจทก์ได้ครอบครองดูแลที่พิพาทมาโจทก์มีนางศิริพรและนายเพชรเป็นพยานเบิกความว่าได้รับซื้อและขายที่พิพาทเป็นทอด ๆ มาจนถึงโจทก์ และมีนางสาวลัดดาผู้ซื้อที่อีกแปลงหนึ่งจากนายเพชรเบิกความว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทติดกับที่แปลงของตนจริง จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับว่าเป็นหุ้นส่วนซื้อที่ดินบริเวณที่พิพาทมาจัดสรรขายผู้อื่นเป็นแปลง ๆ นอกจากนี้จำเลยที่ 1 เบิกความว่า จำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 2 ทับที่แปลงที่โจทก์ซื้อและครอบครองอยู่จึงจดทะเบียนโอนขายให้ไม่ได้ จำเลยที่ 3 ฟ้องจำเลยที่ 2เพื่อหาที่ให้ใหม่ดังนี้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของนับแต่โจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวต่อจากนายเพชรเมื่อ พ.ศ. 2510 โดยโจทก์เข้าใจว่าที่พิพาทเป็นที่ดินตาม น.ส.3 เอกสาร จ.2 โจทก์จึงได้สิทธิครอบครองในที่พิพาทการที่จำเลยที่ 2 นำใบมอบอำนาจของนายโสภณไปขอรังวัดออกโฉนดและจดทะเบียนขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 3 ในระหว่าง พ.ศ. 2515 – 2516จึงไม่อาจกระทำได้ เพราะนายโสภณไม่มีสิทธิอย่างใดในที่พิพาทแล้ว การที่จำเลยที่ 2 ไปขอออกโฉนดสำหรับที่พิพาทแล้วจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 3 โดยอาศัยใบมอบอำนาจของนายโสภณ จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์

พิพากษายืน

Share