คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4069/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 2 คูหา โจทก์ให้บริษัท ซ. เช่าพื้นที่ชั้นล่างบางส่วนและชั้นลอยบางส่วนกับโจทก์ใช้พื้นที่ชั้นล่างบางส่วนทำเป็นสำนักงานของบริษัทโจทก์ ส่วนพื้นที่ชั้น 2 และชั้น 3 โจทก์ให้ ว. กรรมการของโจทก์พักอาศัยแม้ ว. ผู้แทนของโจทก์ที่เฝ้ารักษาจะได้รับความสะดวกจากการอยู่อาศัยนั้นติดต่อกับบริษัทผู้เช่าอาคารชั้นล่างของโจทก์ แต่การอยู่อาศัยของผู้แทนโจทก์ก็มิใช่เป็นการอยู่เพื่อดูแลผลประโยชน์ในการประกอบธุรกิจของโจทก์โดยแท้ เพราะโจทก์มีสำนักงานอยู่ที่ชั้นล่างบางส่วนสำหรับให้บริษัท ซ. สามารถติดต่อกับบริษัทโจทก์ได้โดยตรงอยู่แล้ว พื้นที่ชั้น 2 และชั้น 3 จึงเป็นโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ซึ่งเจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดิน เนื่องจากได้รับยกเว้นตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 10
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในคดีนี้เป็นเช่นเดียวกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์อ้าง เป็นอุทธรณ์ที่ต้องวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นอย่างไร จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 โจทก์ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2543 ต่อพนักงานเก็บภาษีของจำเลยที่สำนักงานเขตพระนคร ต่อมาวันที่ 18 เมษายน 2543 จำเลยแจ้งรายการประเมินให้โจทก์ทราบโดยให้โจทก์นำเงินจำนวน 117,245 บาท ไปชำระแก่จำเลยภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้ง เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2543 โจทก์จึงนำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระ แต่โจทก์เห็นว่าการประเมินภาษีของจำเลยไม่ชอบด้วยมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 โจทก์จึงยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินใหม่ โดยขอให้จำเลยงดภาษีโรงเรือนในส่วนที่โจทก์ใช้เป็นที่พักอาศัยตามมาตรา 10 ดังกล่าวรวมเป็นเงินภาษีโรงเรือนที่ขอลดลงทั้งสิ้น 11,345 บาท ต่อมาจำเลยแจ้งคำชี้ขาดให้โจทก์ทราบ โดยจำเลยไม่ยอมลดภาษีในส่วนที่โจทก์ร้องขอโจทก์เห็นว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องชำระภาษีในส่วนนี้เนื่องจากได้รับยกเว้นตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยจึงไม่ถูกต้อง ขอให้จำเลยคืนเงินภาษีจำนวน 11,345 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 เมษายน 2543 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โรงเรือนของโจทก์มิได้รับการยกเว้นภาษีตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 การประเมินถูกต้องแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามใบแจ้งรายการประเมินเล่มที่ 5 เลขที่ 18 ลงวันที่ 18 เมษายน 2543 และคำชี้ขาดเล่มที่ 23 เลขที่ 84 ลงวันที่21 สิงหาคม 2543 เฉพาะรายการประเมินที่ 2 และที่ 3 (พื้นที่โรงเรือนชั้น 2 และชั้น 3)กับให้จำเลยคืนเงินจำนวน 9,200 บาท แก่โจทก์ ภายในกำหนด 3 เดือนนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด หากไม่คืนภายในกำหนดให้จำเลยชำระต้นเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ใช้อาคารพิพาทเป็นสำนักงานประกอบกิจการเพื่อหาผลประโยชน์ในการให้บริษัท ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด เช่า และโจทก์ได้ใช้ชั้นล่างบางส่วนเป็นสำนักงานของโจทก์เองกรรมการบริษัทโจทก์อาศัยอยู่ชั้น 2 และชั้น 3 เพื่อความสะดวกในการติดต่อกับผู้เช่าการอยู่อาศัยของกรรมการบริษัทโจทก์ดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการประกอบธุรกิจของโจทก์เองไม่ใช่กรณีเจ้าของอยู่เองหรือผู้แทนเฝ้ารักษา พื้นที่ชั้น 2 และชั้น 3จึงมิได้อยู่ในความหมายของคำว่าโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ซึ่งเจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา แต่เป็นการอยู่เพื่อดูแลผลประโยชน์ในการประกอบธุรกิจของโจทก์โดยแท้ โจทก์จึงต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 10 นั้น ในการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลภาษีอากรกลางได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29 ซึ่งศาลภาษีอากรกลางฟังข้อเท็จจริงยุติไว้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 2 คูหาโจทก์ให้บริษัท ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด เช่าพื้นที่ชั้นล่างบางส่วนและชั้นลอยบางส่วนกับโจทก์ใช้พื้นที่ชั้นล่างบางส่วนทำเป็นสำนักงานของบริษัทโจทก์ ส่วนพื้นที่ชั้น 2 และชั้น 3 โจทก์ให้นางวิภาดา พิริยานสรณ์ กรรมการของโจทก์พักอาศัย พื้นที่ชั้น 2และชั้น 3 มิใช่พื้นที่ที่โจทก์ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบอุตสาหกรรมและการที่นางวิภาดาได้พักอาศัยในพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นกรณีที่ผู้แทนของเจ้าของโรงเรือนเฝ้ารักษาโรงเรือนนั้น เห็นว่า เมื่อศาลภาษีอากรกลางฟังว่าโจทก์มิได้ใช้พื้นที่อาคารชั้น 2และชั้น 3 เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบอุตสาหกรรม และโจทก์ได้ให้ผู้แทนเฝ้ารักษาอาคารดังกล่าว ดังนั้น แม้ผู้แทนของโจทก์ที่เฝ้ารักษาจะได้รับความสะดวกจากการอยู่อาศัยนั้นติดต่อกับบริษัทผู้เช่าอาคารชั้นล่างของโจทก์ แต่การอยู่อาศัยของผู้แทนโจทก์ก็มิใช่เป็นการอยู่เพื่อดูแลผลประโยชน์ในการประกอบธุรกิจของโจทก์โดยแท้ดังที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์ เพราะโจทก์มีสำนักงานอยู่ที่ชั้นล่างบางส่วนสำหรับให้บริษัท ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด สามารถติดต่อกับบริษัทโจทก์ได้โดยตรงอยู่แล้วสำหรับที่โจทก์อ้างในอุทธรณ์ว่า ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในคดีนี้เป็นเช่นเดียวกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3029/2525 และ 3298/2526 นั้น เป็นอุทธรณ์ที่ต้องวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นอย่างไร จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง อุทธรณ์จำเลยข้อนี้จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับอาคารชั้น 2 และชั้น 3 นั้นชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share