คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 405/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ต่อศาลและศาลได้ พิพากษาตามยอมแล้ว ว่าจำเลยจะออกจากห้องพิพาทภายในกำหนดสองปี เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ยอมออกไป ถือว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะอยู่ในห้องพิพาทต่อไป ส่วนการที่จำเลยได้รับอนุมัติจากกรมการศาสนาซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ห้องพิพาทตั้งอยู่ให้เช่าที่ดินได้นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะกล่าวอ้างมาเพื่อไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาหาได้ไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าห้องพิพาทต่อไปอีก ๒ ปีศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว เมื่อครบกำหนดไม่ยอมออกจากห้องพิพาท โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลเรียกจำเลยมาสอบถามและออกหมายขังจำเลยไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำบังคับของศาล
จำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยได้รับอนุมัติจากกรมการศาสนาซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ห้องพิพาทตั้งอยู่ให้เช่าที่ดินต่อไปได้ และกรมการศาสนาได้ฟ้องขับไล่โจทก์ให้ออกไปจากที่ดินดังกล่าว จึงขอให้ศาลไต่สวนและงดการบังคับคดีไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยและออกหมายขังจำเลยไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำบังคับของศาล
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ต่อศาลและศาลได้พิพากษาตามยอมแล้ว ว่าจำเลยจะออกจากห้องพิพาทภายใน ๒ ปี เมื่อครบกำหนดจำเลยยังไม่ยอมออกไป ถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในห้องพิพาทต่อไป ส่วนการที่จำเลยได้รับอนุมัติจากกรมการศาสนาซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ห้องพิพาทตั้งอยู่ให้เช่าที่ดินได้นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งจะกล่าวอ้างมาเพื่อไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมหาได้ไม่
พิพากษายืน

Share