คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4048/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามบันทึกการกู้ยืมเงินมีข้อความว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้เงินโจทก์ได้ออกเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อเป็นประกันเงินกู้แต่เมื่อบันทึกดังกล่าวจำเลยที่ 2 ผู้สลักหลังอาวัลเช็คพิพาทมิได้เข้าเป็นคู่สัญญาด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจเอาข้อตกลงตามบันทึกที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำกันไว้มาเป็นเจตนาของจำเลยที่ 2 ได้เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามบันทึกกู้ยืมให้โจทก์เสร็จสิ้น จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์หาได้ไม่ เมื่อจำเลยที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ว่า โจทก์เติมวันเดือนปีที่สั่งจ่ายเช็คพิพาทเอง มิได้ทวงถามให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยที่ 2 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในประเด็นดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้โจทก์ โดยสลักหลังเช็คดังกล่าวเป็นอาวัล เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระเงินโจทก์ได้นำไปเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงินตามวิธีการของธนาคารแต่เรียกเก็บเงินไม่ได้ ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 227,812 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คทั้ง 7 ฉบับให้โจทก์ไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2524 เพื่อเป็นประกันเงินกู้ และจำเลยได้ชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์เสร็จสิ้นแล้ว โจทก์ไม่ยอมคืนเช็คทั้ง 7 ฉบับให้จำเลย แต่โจทก์กลับแก้ไขปีสั่งจ่ายจากปี 2525เป็นปี 2528 แล้วนำมาฟ้องจำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้สลักหลังเช็คทั้ง 7 ฉบับให้โจทก์ไว้จริงแต่เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 ออกให้เป็นประกันเงินกู้ที่จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินไปจากโจทก์เมื่อปี 2525 และปี 2526 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงกันว่า โจทก์จะไม่นำเช็คไปขึ้นเงินจากธนาคาร โดยจำเลยที่ 1 จะโอนรถยนต์เก๋งและรถปิคอัพจำนวน 7 คันเป็นการชำระหนี้โจทก์ จำเลยชำระเงินให้โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน18,650 บาท นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังได้สั่งจ่ายเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนติวานนท์ ชำระเงินให้โจทก์อีก 9 ฉบับ รวมเป็นเงิน89,750 บาทรวมกับเงินสดที่จำเลยที่ 1 ชำระให้โจทก์แล้วเป็นเงิน108,400 บาท หนี้ตามเช็คทั้ง 7 ฉบับที่ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงระงับสิ้นไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 209,162 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า แม้ตามบันทึกการกู้ยืมบางฉบับคือเอกสารหมาย ล.15 และ ล.16 จะมีข้อความระบุว่าที่จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้เงินโจทก์ได้ออกเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อเป็นประกันเงินกู้ตามบันทึกการกู้ยืมนั้นก็ตาม แต่บันทึกดังกล่าวนั้นจำเลยที่ 2 มิได้เข้าเป็นคู่สัญญาด้วย อีกทั้งในการนำสืบพยานของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ก็เบิกความยืนยันว่า ที่จำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทให้โจทก์เป็นการชำระหนี้การกู้ยืม ในสัญญากู้ยืมเงินฉบับอื่นก็ระบุว่าเช็คพิพาทออกให้เพื่อเป็นการชำระหนี้จึงเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่า ขณะที่จำเลยที่ 1 สลักหลังอาวัลเช็คพิพาทให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 มีเจตนาให้เช็คพิพาทดังกล่าวผูกพันชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 จึงมิได้ตกลงเข้าไปเป็นคู่สัญญากู้ยืมกับจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจจะเอาข้อตกลงตามบันทึกที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำกันไว้มาเป็นเจตนาของจำเลยที่ 2ได้ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามบันทึกการกู้ยืมเสร็จสิ้นไปแล้ว จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ไม่ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์เติมวันเดือนปีที่สั่งจ่ายเช็คพิพาทเอาเองก็ดี โจทก์มิได้ทวงถามให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามสัญญากู้ก็ดี เห็นว่า จำเลยที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน.

Share