คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4047/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ก่อนนัดไต่สวนคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถา โจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานแล้วโดยบัญชีระบุพยานนั้นเป็นบัญชีระบุพยาน”ชั้นไต่สวนอนาถา นัดสืบพยานโจทก์” จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานทั้งคดีแล้ว ไม่จำต้องยื่นบัญชีระบุพยานใหม่ในชั้นพิจารณาคดีอีก

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน162,900 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 213,819.88 บาท และแก่โจทก์ที่ 3จำนวน 236,180.12 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 147,400 บาท แก่โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3คนละ 200,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 547,400 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ประการสุดท้าย จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานในชั้นพิจารณาคดีจึงไม่ควรรับฟังพยานโจทก์นั้นเห็นว่า ปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่ได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปทีเดียวโดยไม่ต้องยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อให้พิพากษาใหม่ ในปัญหานี้ ศาลฎีกาเห็นว่าก่อนนัดไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา โจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานฉบับลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2528 แล้วโดยบัญชีระบุพยานนั้นเป็นบัญชีระบุพยาน “ชั้นไต่สวนอนาถา นัดสืบพยานโจทก์” จึงถือว่าโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานทั้งคดีแล้ว ไม่จำต้องยื่นบัญชีระบุพยานใหม่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแล้ว”
พิพากษายืน

Share