แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมสรรพากรโจทก์ที่ 2 แต่กรมศุลกากรโจทก์ที่ 1 ก็มีอำนาจจัดเก็บภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพื่อโจทก์ที่ 2 ได้ ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีการค้า (ฉบับที่ 7) เรื่อง กำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการการค้าและชำระภาษีการค้าของผู้นำเข้าและส่งออก หากจำเลยไม่พอใจการประเมินนั้นก็ต้องอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้วจำเลยไม่พอใจคำวินิจฉัย ก็มีสิทธิอุทธรณ์หรือฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยการที่จำเลยไม่ดำเนินการผ่านขั้นตอนตามที่กล่าวนี้ นอกจากจะไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินแล้ว ยังรวมทั้งการโต้แย้งให้การต่อสู้คดีด้วย ดังนั้น การที่จำเลยเห็นว่าการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มของเจ้าพนักงานประเมินไม่ชอบเพราะมิได้คำนวณมาจากยอดเงินอากรขาเข้าตามราคาที่แท้จริงในท้องตลาดโดยชอบ เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่อาจโต้แย้งการประเมินดังกล่าวในชั้นพิจารณาของศาลได้.
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้อง ขอให้จำเลยชำระค่าภาษีอากร 172,399.10 บาทและเงินเพิ่มอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงินอากรขาเข้าในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนจากต้นเงินอากาขาเข้า 66,527.53 บาท เป็นรายเดียวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยได้สำแดงราคาสินค้าถูกต้อง การที่โจทก์นำราคาสินค้าของผู้นำเข้ารายอื่นมาเปรียบเทียบกับราคาสินค้าของจำเลยไม่ถูกต้อง เพราะระยะเวลาที่ซื้อขายสินค้าและจำนวนสินค้าที่ซื้อขายของผู้นำเข้ารายอื่นกับของจำเลยไม่เท่ากัน จำเลยซื้อสินค้าจำนวนมากราคาย่อมลดลงอีกทั้งสภาวะตลาดในแต่ละวันไม่เหมือนกัน ดังนั้น ราคาที่ซื้อขายต่างวันกันก็อาจจะแตกต่างกันได้โจทก์ที่ 1 แจ้งข้อหาคดีอาญาว่าจำเลยสำแดงเท็จและนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาดแล้ว โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยในกรณีแห่งความผิดอันเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในชั้นนี้แต่เพียงว่าจำเลยจะต้องรับผิดเสียเงินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มแก่โจทก์หรือไม่ ปัญหาข้อนี้โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ได้แจ้งการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มให้จำเลยทราบแล้ว แต่จำเลยไม่คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในสามสิบวัน จำเลยจะยกข้อต่อสู้คดีภายหลังว่าการประเมินของโจทก์ไม่ถูกต้องไม่ได้ จำเลยแก้อุทธรณ์ว่า เมื่อโจทก์ไม่ติดใจอุทธรณ์ในประเด็นที่ว่าจำเลยสำแดงรายการบอกสินค้าต่ำกว่าราคาอันแท้จริงตามท้องตลาดหรือไม่ เท่ากับเป็นการยอมรับว่าจำเลยได้สำแดงรายการสินค้าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด มิได้มีการหลีกเลี่ยงอากรขาเข้าดังที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัย คดีจึงถึงที่สุด โจทก์จะอุทธรณ์เฉพาะในข้อที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 นอกคำขอบังคับของโจทก์มาบังคับจำเลยไม่ได้ นอกจากนี้การประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มจะต้องคิดคำนวณมาจากยอดภาษีอากรขาเข้า เมื่อศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า การเสียอากรขาเข้าของจำเลยชอบแล้ว โจทก์หามีสิทธิที่จะคิดภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มจากจำเลยไม่ และตามประมวลรัษฎากรบัญญัติให้ผู้ถูกประเมินภาษีจะต้องอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาสามสิบวัน หากไม่อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่มีสิทธิฟ้องคดีเกี่ยวกับการประเมินไม่ชอบเท่านั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าแม้การประเมินภาษีอากรขาเข้าจะเป็นการประเมินเรียกเก็บตามพระราชบัญญัติศุลกากร ส่วนการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเป็นการประเมินเรียกเก็บตามประมวลรัษฎากรและพระราชบัญญัติภาษีบำรุงเทศบาล อยู่ในอำนาจหน้าที่ของโจทก์ที่ 2 ก็ตาม แต่โจทก์ที่ 1ก็มีอำนาจจัดเก็บภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพื่อโจทก์ที่ 2ได้ ตามประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีการค้า (ฉบับที่ 7)เรื่อง กำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการการค้าและชำระภาษีการค้าของผู้นำเข้าและส่งออก ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2513 ดังนั้นในกรณีของภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล หากจำเลยไม่พอใจการประเมินนั้นก็ต้องอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งการประเมิน เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยแล้ว จำเลยไม่พอใจคำวินิจฉัยนั้นก็มีสิทธิอุทธรณ์หรือฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยนั้น ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 30แห่งประมวลรัษฎากร การที่จำเลยไม่ดำเนินการผ่านขั้นตอนตามที่กล่าวนี้ นอกจากจะไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินแล้วยังรวมทั้งการโต้แย้งให้การต่อสู้คดีนั้นด้วยดังนั้นหากจำเลยเห็นว่า การประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มของเจ้าพนักงานประเมินไม่ชอบ เพราะมิได้คำนวณมาจากยอดเงินอากรขาเข้าตามราคาอันแท้จริงในท้องตลาดโดยชอบ เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่กล่าวแล้ว จำเลยจึงไม่อาจจะโต้แย้งการประเมินดังกล่าวในชั้นพิจารณาของศาลได้ส่วนในข้อที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่ติดใจอุทธรณ์ในส่วนอากรขาเข้าที่โจทก์ที่ 1 รับผิดชอบมาด้วยนั้น ก็หามีผลทำให้สิทธิในการอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 ในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลระงับไปไม่ และจะถือว่าเป็นการอุทธรณ์นอกเหนือคำบังคับก็ไม่ได้เพราะโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้ร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องคดีมาด้วยกันทั้งยังได้บรรยายฟ้องแสดงให้เห็นการประเมินภาษีอากรเพิ่มโดยแยกรายละเอียดเป็นยอดเงินเพิ่มสำหรับอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแต่ละประเภทไว้ต่างหากจากกัน การที่โจทก์ได้รวมยอดภาษีอากรทั้งหมดไว้ในคำขอท้ายฟ้องจึงเป็นเพียงให้เกิดความสะดวกต่อการขอให้บังคับคดีจำเลยเท่านั้น ที่ศาลภาษีอากรกลางไม่บังคับให้จำเลยชำระเงินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มให้แก่โจทก์ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลเพิ่มจำนวน 40,674.60 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง”.