คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4046/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ น. ภริยาโจทก์ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชีของ ส. โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม มิใช่เป็นการจัดการสินสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1476,1477 ซึ่งจะต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอเพิกถอน ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เกิดจากข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างไว้ในฟ้อง และจากทางนำสืบของโจทก์จึงเป็นข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบ แม้มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น จำเลยก็มีสิทธิอุทธรณ์ได้ และศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนางนิดา เป็นสามีภริยากันโดยจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2528 นางนิดาได้ทำสัญญาเข้าเป็นผู้ค้ำประกันสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของนางสาวสุวารีในวงเงิน 300,000 บาท ไว้แก่ธนาคารจำเลย โดยนำบัญชีเงินฝากประเภทฝากประจำเลขที่ 620-2-09069-3 วางไว้เป็นหลักประกันซึ่งเงินฝากตามบัญชีดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางนิดาในการทำสัญญาค้ำประกันนั้น โจทก์มิได้ให้ความยินยอม โจทก์ได้บอกล้างสัญญาค้ำประกันแล้ว ขอให้เพิกถอนสัญญาค้ำประกัน
จำเลยให้การว่า การทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ซึ่งนางนิดาทำไว้แก่จำเลยนั้น จำเลยตกลงทำด้วยความสุจริตตามธรรมเนียมประเพณีของธนาคารพาณิชย์ โจทก์ทราบถึงการทำสัญญาค้ำประกันดังกล่าวตั้งแต่วันทำสัญญาแล้วและได้ให้สัตยาบัน โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิบอกเลิกหรือเพิกถอนสัญญาค้ำประกันภายใน 1 ปี นับแต่วันทราบ สัญญาค้ำประกันยังผูกพันนางนิดา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้เพิกถอนสัญญาค้ำประกันการจำนำเงินฝากประจำระหว่างธนาคารกรุงไทย จำกัด กับนางนิดา วิบูลสุนทรางกูล
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนเฉพาะสัญญาจำนำที่นางนิดา วิบูลสุนทรางกูล นำบัญชีเงินฝากประเภทฝากประจำเลขที่620-2-09069-3 ประกันไว้แก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2528 ระหว่างนางนิดาผู้ค้ำประกันกับจำเลยโดยแนบสำเนาสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีสัญญาค้ำประกันและบันทึกการจำนำเงินฝากประจำมาท้ายฟ้องตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2ถึงหมายเลข 4 และนำสืบสัญญาและบันทึกดังกล่าวไว้ด้วยตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.3 และสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีซึ่งมีบันทึกการจำนำเงินฝากประจำต่อท้ายเอกสารหมาย จ.4 แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าสัญญาค้ำประกันที่นางนิดาทำไว้แก่จำเลยเป็นนิติกรรมที่ไม่เกี่ยวกับการจัดการสินสมรส โจทก์ไม่มีอำนาจขอให้เพิกถอนก็ตามแต่ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาค้ำประกันที่นางนิดาทำไว้แก่จำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทั้งปัญหาดังกล่าวเกิดจากข้อเท็จจริงที่โจทก์ยกขึ้นกล่าวอ้างไว้ในฟ้องและจากการนำสืบของโจทก์ด้วย จึงเป็นข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบแม้ไม่ใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยก็มีสิทธิอุทธรณ์เป็นประเด็นขึ้นมาได้ในชั้นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 2 ก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ส่วนปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องขอเพิกถอนสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.3หรือไม่นั้น เห็นว่า สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.3 ระบุว่านางนิดาเป็นผู้ค้ำประกันผู้กู้ยอมเข้าค้ำประกันการชำระหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีของนางสาวสุวารีผู้กู้จนกว่าจำเลยผู้ให้กู้จะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง โดยตกลงยินยอมเป็นลูกหนี้ร่วมกับผู้กู้ถ้าผู้กู้ไม่ชำระหนี้ ผู้ค้ำประกันยอมเข้ารับผิดร่วมกับลูกหนี้ในอันที่จะต้องชำระหนี้ตามสัญญากู้นั้นทันที เป็นสัญญาที่นางนิดายอมผูกพันตนต่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของนางสาวสุวารีเพื่อชำระหนี้เมื่อนางสาวสุวารีลูกหนี้ไม่ชำระหนี้จึงเป็นสัญญาค้ำประกันด้วยบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 ซึ่งผูกพันตัวนางนิดาที่จะต้องรับผิดต่อจำเลยหากนางสาวสุวารีไม่ชำระหนี้มิได้เกี่ยวกับสินสมรสและมิใช่เป็นการจัดการสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่ได้ตรวจชำระใหม่ มาตรา 1476, 1477ที่โจทก์ซึ่งเป็นสามีจะต้องให้ความยินยอมร่วมกันเป็นหนังสือตามมาตรา 1479 แต่อย่างใด โจทก์จึงขอให้เพิกถอนสัญญาค้ำประกันดังกล่าวตามมาตรา 1480 ไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share