แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาของข้าราชการที่ไปศึกษาหรือฝึกอบรม ณ ต่างประเทศที่ ย.ทำกับโจทก์ซึ่งข้อความในสัญญาที่ ย.ทำกับโจทก์มีว่าเมื่อย.เสร็จการศึกษาที่ย.ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาหรือถูกเรียกตัวกลับ และ ย.ไม่กลับมารับราชการกับโจทก์หรือกระทรวงทบวงกรมอื่นที่ทางราชการเห็นสมควรเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของเวลาที่ได้รับทุน หรือที่ได้รับเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่ม สุดแต่เวลาใดจะมากกว่ากัน หรือ ย.กลับมารับราชการบ้างแต่ไม่ครบกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยสัญญาว่าหาก ย.ไม่ชดใช้ทุนและหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยยินยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามความรับผิดของ ย.ทั้งสิ้นเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าหลังจากครบกำหนด 3 ปี9 เดือน ที่ ย.ได้รับทุนไปศึกษาต่อย.ได้ขอลาศึกษาต่อด้วยทุนส่วนตัวหลายครั้ง และโจทก์ก็อนุมัติให้ ย.ลาศึกษาต่อโดยไม่แจ้งให้จำเลยทราบ และจำเลยมิได้ทำสัญญาค้ำประกันการลาศึกษาต่อของย.ต่อโจทก์อีก จำเลยคงรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันเดิมสำหรับการปฏิบัติตามสัญญาของ ย.ในการลาไปศึกษาต่อเป็นเวลา3 ปี 9 เดือน เท่านั้น สำหรับทุนที่ ย.จะต้องรับผิดคืนแก่โจทก์นั้น ปรากฏตามระเบียบว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษา ฝึกอบรมและดูงาน และเพื่อการครองชีพระหว่างศึกษา ฝึกอบรมและดูงาน ณ ต่างประเทศ พ.ศ. 2512ว่า หมายความถึงเงินค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ฝึกอบรมหรือดูงานและเพื่อการครองชีพระหว่างศึกษา ฝึกอบรมหรือดูงาน และหมายความรวมตลอดถึงเงินค่าพาหนะเดินทางด้วย ย.จึงต้องรับผิดใช้คืนเงินทุนที่ได้รับจากรัฐบาลฝรั่งเศสและค่าเครื่องบินทั้งขาไปและขากลับจากการศึกษาต่อ รวมทั้งเงินเดือนที่ ย.ได้รับไปจากโจทก์ในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อแก่โจทก์พร้อมทั้งเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่า ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่โจทก์มีหนังสือทวงถาม ย.จนถึงวันฟ้องนั้นเป็นการฟ้องให้จำเลยชำระดอกเบี้ยค้างส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 เดิมซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี แม้จำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ก่อนโจทก์นำคดีขึ้นสู่ศาล แต่จำเลยก็ได้ให้การต่อสู้ในชั้นศาลว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับดอกเบี้ยดังกล่าวขาดอายุความ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยค้างส่งนับถึงวันฟ้องเกินกว่า5 ปีจากจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2515 นางสาวยุบล รัตนจักษ์ ซึ่งรับราชการเป็นอาจารย์สังกัดคณะมนุษยศาสตร์ของโจทก์ ได้รับอนุมัติจากโจทก์และสำนักนายกรัฐมนตรีเจ้าสังกัดของโจทก์ในสมัยนั้น ให้ลาไปศึกษาต่อในวิชาภาษาศาสตร์ในขั้นปริญญาโท-เอก ณ ประเทศฝรั่งเศส โดยได้รับเงินเดือนจากโจทก์ตลอดเวลาที่ได้รับอนุญาตให้ลาศึกษาต่อ นางสาวยุบลได้ทำสัญญาให้ไว้ต่อโจทก์ว่า เมื่อเสร็จการศึกษาไม่ว่าการศึกษาจะสำเร็จหรือไม่ หรือถูกเรียกตัวกลับก่อน นางสาวยุบลจะรับราชการต่อกับโจทก์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า2 เท่าของเวลาที่ได้รับทุนหรือได้รับเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มหากผิดสัญญาดังกล่าว ยอมใช้คืนทุนและเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและเบี้ยปรับอีกเท่าหนึ่ง หากนางสาวยุบลกลับมารับราชการบ้างเงินชดใช้คืนและเบี้ยปรับจะลดลงตามส่วน หากไม่ชำระภายในกำหนดยอมให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของนางสาวยุบลไว้ต่อโจทก์ หลังจากทำสัญญาดังกล่าว นางสาวยุบลได้เดินทางไปศึกษาต่อ ณ ประเทศฝรั่งเศสตามที่ได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2515 และได้รับเงินเดือนจากโจทก์ตลอดมาจนกระทั่งถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2521 นางสาวยุบลขอลาศึกษาต่อโดยของดรับเงินเดือนจากโจทก์ และได้ศึกษาต่อตามสัญญาจนถึงวันที่ 22 มกราคม 2522 จึงได้กลับมารับราชการกับโจทก์จนถึงวันที่ 25 เมษายน 2522 แล้วนางสาวยุบลขอลากิจเป็นเวลา1 เดือน เพื่อเดินทางไปต่างประเทศ เมื่อครบกำหนดแล้วนางสาวยุบลไม่กลับมารับราชการอีก โจทก์จึงมีคำสั่งไล่นางสาวยุบลออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2522 เป็นต้นไป นางสาวยุบลมีความผูกพันตามสัญญาต่อโจทก์ที่จะต้องกลับมารับราชการกับโจทก์เป็นเวลา 2 เท่าของเวลาที่รับทุนหรือได้รับเงินเดือนเป็นเวลา10 ปี 9 เดือน 28 วัน แต่นางสาวยุบลกลับมารับราชการกับโจทก์เพียง 3 เดือน 5 วัน แล้วหนีราชการไปเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาต่อโจทก์ นางสาวยุบลต้องรับผิดตามสัญญาดังกล่าวใช้คืนเงินทุนรวมทั้งเงินค่าเครื่องบินไปกลับ เงินเดือนและเงินเพิ่มช่วยค่าครองชีพที่นางสาวยุบลได้รับไปจากโจทก์ในระหว่างที่ศึกษาต่อกับเบี้ยปรับอีก 1 เท่า รวมเป็นเงิน 558,941.22 บาท โจทก์ทวงถามให้นางสาวยุบลชำระหนี้ดังกล่าว แต่นางสาวยุบลเพิกเฉยนางสาวยุบลจึงผิดนัดและต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตามสัญญาจนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 510,266.74 บาท รวมเป็นเงินที่นางสาวยุบลจะต้องรับผิดชดใช้ให้โจทก์ 1,069,207.96 บาท จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญา ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน 1,069,207.96 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปีของต้นเงิน 558,941.22 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์มิได้เป็นผู้ให้ทุนแก่นางสาวยุบลไปศึกษาต่อในภาควิชาภาษาศาสตร์ ในขั้นปริญญาโท-เอก ณ ประเทศฝรั่งเศส ทุนดังกล่าวเป็นทุนของรัฐบาลฝรั่งเศส โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยค้ำประกันนางสาวยุบลในการปฏิบัติตามสัญญาหนี้ตามสัญญาครบกำหนดชำระตั้งแต่ปี 2521-2522 โจทก์ผ่อนเวลาให้แก่นางสาวยุบล โดยอนุมัติให้นางสาวยุบลทำการศึกษาต่อโดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมด้วย จำเลยจึงหลุดพ้นความรับผิด โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากจำเลย โจทก์ต้องเรียกให้นางสาวยุบลลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนและฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 621,354.24 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 355,059.57 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 960,647.14บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 411,705.92 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาของข้าราชการที่ไปศึกษาหรือฝึกอบรมณ ต่างประเทศเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งนางสาวยุบลทำไว้กับโจทก์ข้อ 3และข้อ 4 ระบุว่า เมื่อนางสาวยุบลเสร็จการศึกษาหรือฝึกอบรมทั้งนี้ไม่ว่าการศึกษาหรือฝึกอบรมจะสำเร็จหรือไม่ หรือนางสาวยุบลถูกเรียกตัวกลับ นางสาวยุบลจะรับราชการต่อไปกับโจทก์หรือในกระทรวงทบวงกรมอื่นตามที่ทางราชการเห็นสมควรเป็นเวลาไม่น้อยกว่า2 เท่าของเวลาที่ได้รับทุนหรือได้รับเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มทั้งนี้สุดแต่เวลาใดจะมากกว่ากัน ในกรณีที่นางสาวยุบลผิดสัญญาหรือไม่กลับมารับราชการด้วยเหตุใด ๆ นางสาวยุบลจะชดใช้คืนให้แก่โจทก์ซึ่งทุนและหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและหรือเงินอื่นใดทั้งสิ้นที่นางสาวยุบลได้รับจากทางราชการในระหว่างเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาหรือฝึกอบรม นอกจากนี้นางสาวยุบลจะจ่ายเงินเป็นเบี้ยปรับให้แก่โจทก์อีกจำนวนหนึ่งเท่ากับเงินที่นางสาวยุบลจะต้องชดใช้คืน ในกรณีที่นางสาวยุบลรับราชการบ้างแต่ไม่ครบเวลาดังกล่าว เงินที่ชดใช้คืนและเบี้ยปรับจะลดลงตามส่วนของเวลาที่นางสาวยุบลรับราชการไปบ้าง และระบุในข้อ 8 ว่าในการทำสัญญานี้นางสาวยุบลได้จัดให้จำเลยทำสัญญาค้ำประกันการปฏิบัติและความรับผิดตามสัญญานี้ด้วยแล้วและสัญญาค้ำประกันซึ่งจำเลยทำไว้กับโจทก์เอกสารหมาย จ.5 ข้อ 1 มีข้อความระบุว่าตามที่นางสาวยุบลได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาหรือฝึกอบรม ณ ประเทศฝรั่งเศส และได้ทำสัญญาไว้กับโจทก์เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2515นั้น จำเลยทราบและเข้าใจข้อความในสัญญาดังกล่าวนี้แล้วขอทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์ว่า ถ้านางสาวยุบลผิดสัญญาดังกล่าวด้วยประการใด ๆ จำเลยยินยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามความรับผิดชอบของนางสาวยุบลตามสัญญาดังกล่าวทั้งสิ้นทุกประการ เห็นว่าข้อความตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.5 ประกอบกับสัญญาของข้าราชการที่ไปศึกษาหรือฝึกอบรม ณ ต่างประเทศ เอกสารหมาย จ.4 ดังกล่าวมีความหมายชัดเจนว่า จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันการปฏิบัติและความรับผิดตามสัญญาเอกสารหมาย จ.4 ที่นางสาวยุบลทำกับโจทก์ โดยเมื่อนางสาวยุบลเสร็จการศึกษาที่นางสาวยุบลได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาด้วยทุนของรัฐบาลฝรั่งเศส หรือนางสาวยุบลถูกเรียกตัวกลับ และนางสาวยุบลไม่กลับมารับราชการกับโจทก์หรือกระทรวงทบวงกรมอื่นตามที่ทางราชการเห็นสมควรเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 เท่าของเวลาที่ได้รับทุนของรัฐบาลฝรั่งเศส หรือที่ได้รับเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มสุดแต่เวลาใดจะมากกว่ากัน หรือนางสาวยุบลกลับมารับราชการบ้างแต่ไม่ครบกำหนดเวลาดังกล่าว และนางสาวยุบลไม่ชดใช้ทุนและหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ตามสัญญา จำเลยยินยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามความรับผิดชอบของนางสาวยุบลทั้งสิ้นเท่านั้น ส่วนที่หลังจากครบกำหนด 3 ปี9 เดือนที่นางสาวยุบลได้รับทุนของรัฐบาลฝรั่งเศสไปศึกษาต่อแล้ว นางสาวยุบลได้ขอลาศึกษาต่อด้วยทุนส่วนตัวหลายครั้ง และโจทก์อนุมัติให้นางสาวยุบลลาศึกษาต่อโดยมิได้แจ้งให้จำเลยทราบนั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันการลาศึกษาต่อเพิ่มเติมของนางสาวยุบลต่อโจทก์อีกแต่อย่างใด จำเลยจึงคงมีความรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.5 เพียงสำหรับการปฏิบัติตามสัญญาของนางสาวยุบลสำหรับการลาไปศึกษาต่อประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลา 3 ปี 9 เดือน ด้วยทุนของรัฐบาลฝรั่งเศสเท่านั้นมิใช่ต้องรับผิดค้ำประกันการลาไปศึกษาต่อด้วยทุนของรัฐบาลฝรั่งเศสและทุนส่วนตัวของนางสาวยุบลรวมเป็นเวลา 6 ปี 3 เดือน 19 วันแล้ววินิจฉัยต่อไปว่า สำหรับทุนที่นางสาวยุบลจะต้องรับผิดคืนให้แก่โจทก์นั้น ปรากฏตามระเบียบว่าด้วยการให้ข้าราชการไปศึกษาฝึกอบรมและดูงาน ณ ต่างประเทศ พ.ศ. 2512 ว่า หมายความถึงเงินค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษา ฝึกอบรมหรือดูงาน และเพื่อการครองชีพระหว่างศึกษา ฝึกอบรมหรือดูงาน และหมายความรวมตลอดถึงเงินค่าพาหนะเดินทางเพื่อการนี้ด้วย นางสาวยุบลจึงต้องรับผิดใช้คืนเงินทุนที่ได้รับจากรัฐบาลฝรั่งเศสและค่าเครื่องบินทั้งขาไปศึกษาต่อและขากลับจากการศึกษาต่อให้แก่โจทก์รวมทั้งเงินเดือนที่นางสาวยุบลได้รับไปจากโจทก์ในระหว่างเวลาดังกล่าว ซึ่งนางสาวยุบลได้รับทุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสเป็นทุนการศึกษาทั้งสิ้น 35,750ฟรังก์ฝรั่งเศส คิดเป็นเงินไทย 139,067.50 บาท กับค่าเครื่องบินไปกลับกรุงเทพ-ฝรั่งเศส จำนวน 16,363.55 บาท และได้รับเงินเดือนจากโจทก์ตลอดระยะเวลาที่ลาไปศึกษาต่อตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2515ถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2518 เป็นเวลา 3 ปี 9 เดือน เป็นเงิน 87,662.25บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 243,093.30 บาท นางสาวยุบลต้องกลับมารับราชการเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 เท่าของเวลาที่ได้รับทุนคือ 7 ปี6 เดือน หรือ 2,738 วัน แต่นางสาวยุบลกลับมารับราชการเพียง94 วัน นางสาวยุบลจึงมีความผูกพันตามสัญญาเอกสารหมาย จ.4ข้อ 4 ต้องชดใช้เงินจำนวน 243,093.30 บาทให้แก่โจทก์ พร้อมเบี้ยปรับอีกเท่าหนึ่งรวมเป็นเงิน 486,186.60 บาท แต่โดยที่นางสาวยุบลได้กลับมารับราชการบ้างเป็นเวลา 94 วัน นางสาวยุบลจึงได้ลดเงินที่ต้องชดใช้คืนและเบี้ยปรับดังกล่าวลงตามส่วนของเวลาที่นางสาวยุบลได้กลับมารับราชการ โดยต้องใช้เงินทุนค่าเครื่องบินไปกลับและเงินเดือนคืนให้แก่โจทก์เป็นเงิน 234,747.51 บาท กับเบี้ยปรับอีก 1 เท่าของจำนวนเงินดังกล่าวรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 469,495.02 บาทซึ่งเมื่อนางสาวยุบลไม่ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันนางสาวยุบลตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.5จึงต้องรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์
ส่วนที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตามสัญญาในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 558,941.22 บาท นับตั้งแต่วันที่8 สิงหาคม 2523 จนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 6 ปี 1 เดือน 1 วัน นั้นเป็นการฟ้องให้จำเลยชำระดอกเบี้ยค้างส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 เดิม ซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี แม้จำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในชั้นที่โจทก์เรียกร้องเบี้ยปรับพร้อมดอกเบี้ยก่อนนำคดีขึ้นสู่ศาล แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับดอกเบี้ยดังกล่าวขาดอายุความโจทก์ก็ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกดอกเบี้ยค้างส่งนับถึงวันฟ้องเกินกว่า 5 ปี จากจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยค้างส่งนับถึงวันก่อนวันฟ้องเป็นเวลา 5 ปี รวมเป็นเงิน 352,121.26 บาทรวมเป็นเงินทุนค่าเครื่องบิน เงินเดือน เบี้ยปรับและดอกเบี้ยก่อนฟ้องที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น 821,616.28 บาทและต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวน469,495.02 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จอีกด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินจำนวน 821,616.28 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 469,495.02 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ