แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ครอบครอง อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 55, 78 เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 คงมีแต่เพียงอาวุธปืนลูกซองยาวเท่านั้น ศาลย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา 7, 72 ได้ เพราะความผิดดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืน เอช เค ๓๓ จำนวน ๑ กระบอก อาวุธปืนเอ็ม ๑๖ จำนวน ๒ กระบอก และกระสุนปืนไม่ทราบจำนวนซึ่งใช้ยิงได้และนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง พาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ใช้อาวุธปืนดังกล่าวทำการปล้นทรัพย์ รถจักรยานยนต์ของนายสาเทพ ชนะสุข ใช้อาวุธปืนยิงทำลายโค ๔ ตัว และสุกร ๑ ตัว ของนางพบัก ชนะสุข และร่วมกันหน่วงเเหนี่ยวกักขังทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพโดยใช้อาวุธปืนบังคับขู่เข็ญนายสนิท บุญส่งและเด็กชายมนตรี ชนะสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓, ๙๐, ๙๑, ๓๐๙, ๓๑ ๓๔๐, ตรี, ๓๕๘, ๓๕๙ (๒) (๓) ,๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๘ ทวิ ,๗๒ ทวิ ๕๕, ๗๘ ที่แก้ไขแล้ว และริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ วรรคสอง ,๓๑๐ วรรคแรก, ๓๔๐ ประกอบด้วย มาตรา ๓๔๐ ตรี ,๓๕๙ (๒) (๓) ให้เรียงกระทงลงโทษ ความผิดฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพกับความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง เป็นกรรมเดียวกัน ให้ลงโทษฐานทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกคนละ ๒ ปี ฐานปล้นทรัพย์จำคุกคนละ ๒๔ ปี ฐานทำให้เสียทรัพย์จำคุกคนละ ๒ ปี และจำเลยที่ ๑ ผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา ๗, ๘, ๗๒ ทวิ ( ที่ถูกมีมาตรา ๗๒ ด้วย ) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ ฐานมีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต จำคุก ๒ ปี และฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่รับอนุญาติให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ซึ่งมีโทษหนักกว่า จำคุก ๑ ปี และจำเลยที่ ๒ มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา ๘ ทวิ, ๕๕, ๗๒ ทวิ, ๗๘ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ ฐานมีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาต จำคุก ๔ ปี และฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่รับอนุญาตให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ซึ่งมีโทษหนักกว่า จำคุก ๑ ปี รวมเป็นจำคุก จำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๓๑ ปี จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๓๓ ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒๓ ปี ๓ เดือน จำคุกจำเลยที ๒ มีกำหนด ๒๔ ปี ๙ เดือน ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายรายนี้ แต่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา ๕๕, ๗๘ เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ครอบครองอาวุธปืนดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ ๑ คงมีแต่เพียงอาวุธปืนลูกซองยาวเท่านั้น ศาลฎีกาจึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ ๑ ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ มาตรา ๗, ๗๒ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังที่โจทก์ฎีกาได้เพราะความผิดดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ
พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙ วรรคสอง, ๓๑๐ วรรคแรก, ๓๔๐ วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา ๓๔๐ ตรี, ๓๕๙ (๒) (๓), ๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๘ ทวิ วรรคแรก ,๗๒ ทวิ วรรคสอง และจำเลยที่ ๒ ยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๕๕, ๗๘ ให้วางโทษและลดโทษสำหรับจำเลยทั้งสองไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่จำเลยที่ ๑ ไม่ลงโทษในข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมแล้วคงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒๑ ปี ๙ เดือน จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๒๔ ปี ๙ เดือน ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง