คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4036/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อที่จำเลยฎีกาว่า สัญญากู้ระหว่างโจทก์กับ ส. ไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คพิพาท แต่กรณีการกู้ยืมระหว่างโจทก์กับ ส. จะมีการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดตามที่จำเลยอ้างหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงซึ่งข้อต่อสู้ดังกล่าวจำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดของจำเลยไว้ในคำให้การ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คจำนวน 1,072,739 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 จำเลยกับนางปราณีตลีฬหวรงค์ และนางสุภาณี สวัสดิ์ไชย ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกัน จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 2 ฉบับ เป็นเงินค่ามัดจำ เช็คฉบับหนึ่งคือเช็คพิพาทในสัญญามีข้อตกลงว่า หากผู้จะขายผิดสัญญายินยอมคืนเงินมัดจำทั้งหมดและยินยอมเสียค่าปรับ ต่อมาผู้จะขายคบคิดกับผู้อื่นทำการฉ้อฉลจำเลยและโอนที่ดินไปให้ผู้อื่นโดยไม่สุจริต เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ โจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาจากผู้มีชื่อโดยปราศจากมูลหนี้และคบคิดกันฉ้อฉล โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน 1,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 28 มกราคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญากู้ระหว่างโจทก์กับนางสุภาณีสวัสดิ์ไชย มีการเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นสัญญากู้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า จำเลยฎีกาทำนองว่า สัญญากู้ระหว่างโจทก์กับนางสุภาณีไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คพิพาทแต่กรณีการกู้ยืมระหว่างโจทก์กับนางสุภาณีจะมีการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดตามที่จำเลยอ้างหรือไม่เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งข้อต่อสู้ดังกล่าวจำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดของจำเลยไว้ในคำให้การฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายืน

Share