คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4027/2548

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยจดทะเบียนสมรสกับเรือเอก ช. ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญของกองทัพเรือโจทก์ เมื่อเรือเอก ช. ถึงแก่ความตายจำเลยได้ขอรับเงินบำเหน็จตกทอดจากโจทก์ และโจทก์จ่ายเงินบำเหน็จตกทอดให้แก่จำเลย 207,750 บาท ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสโดยมิได้มีเจตนาที่จะเป็นสามีภริยากัน หากแต่กระทำเพื่อต้องการได้รับเงินบำเหน็จตกทอด การสมรสของจำเลยฝ่าฝืนต่อ ป.พ.พ. มาตรา 1458 ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยคืนเงินดังกล่าว เมื่อศาลพิพากษาว่าการสมรสตกเป็นโมฆะจึงไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามมาตรา 1498 วรรคหนึ่ง และมีผลเท่ากับจำเลยกับเรือเอก ช. มิได้เป็นสามีภริยากันมาแต่แรกจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวและสิทธิของจำเลยดังกล่าวก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1499 เพราะจำเลยมิได้สมรสโดยสุจริต จำเลยจึงต้องคืนเงินบำเหน็จตกทอดให้แก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้ตามาตรา 172 วรรคสอง ประกอบมาตรา 406
จำเลยมีหน้าที่จะต้องคืนเงินแก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้แต่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้เรียกคืนก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดต่อเมื่อมีการเรียกคืนแล้ว แต่จำเลยไม่คืนให้ จึงจะถือว่าจำเลยตกอยู่ในฐานะทุจริตจำเดิมแต่เวลาที่ถูกเรียกคืนตาม ป.พ.พ. มาตรา 415 วรรคสอง และตกเป็นผู้ผิดนัดจะต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่เวลานั้นเป็นต้นไปตามมาตรา 203 วรรคแรก และมาตรา 204 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 224 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นภริยาของเรือเอกเชิดชาย ศรีงามผ่อง ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญของโจทก์ เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2537 เรือเอกเชิดชายถึงแก่ความตาย จำเลยขอรับเงินบำเหน็จตกทอด โจทก์ได้จ่ายเงินบำเหน็จตกทอดให้แก่จำเลย 207,750 บาท แต่ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้การสมรสระหว่างเรือเอกเชิดชายกับจำเลยตกเป็นโมฆะ โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยคืนเงินบำเหน็จตกทอดดังกล่าวแต่จำเลยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับหนังสือ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 348,792.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 207,750 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 207,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา แม้ศาลชั้นต้นยังไม่ได้สั่งอนุญาต แต่การที่จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นส่งสำเนามายังศาลฎีกา พอแปลได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง แล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินบำเหน็จตกทอดนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นั้นชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยจดทะเบียนสมรสกับเรือเอกเชิดชาย ศรีงามผ่อง ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญของโจทก์ เมื่อเรือเอกเชิดชายถึงแก่ความตายจำเลยได้รับเงินบำเหน็จตกทอดจากโจทก์ และโจทก์จ่ายเงินบำเหน็จตกทอดให้แก่จำเลย 207,750 บาท ในวันที่ 16 มีนาคม 2538 ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสกับเรือเอกเชิดชายโดยมิได้มีเจตนาที่จะเป็นสามีภริยากัน หากแต่กระทำเพื่อต้องการได้รับเงินบำเหน็จตกทอดการสมรสของจำเลยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 ตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยคืนเงินดังกล่าว เห็นว่า เมื่อศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยกับเรือเอกเชิดชายตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1496 การสมรสดังกล่าวจึงไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1496 วรรคหนึ่ง และมีผลเท่ากับจำเลยกับเรือเอกเชิดชายมิได้เป็นสามีภริยากันมาแต่แรก จำเลยจึงไม่มีสิทธิรับเงินบำเหน็จตกทอดของเรือเอกเชิดชายและสิทธิของจำเลยดังกล่าวก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1499 เพราะจำเลยมิได้สมรสโดยสุจริต จำเลยจึงต้องคืนเงินบำเหน็จตกทอดให้แก่โจทก์ฐานลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบมาตรา 406 แต่อย่างไรก็ดี แม้จำเลยมีหน้าที่จะต้องคินเงินดังกล่าวแต่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้เรียกคืนก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัด ต่อเมื่อมีการเรียกเงินดังกล่าวคืนแล้ว แต่จำเลยไม่คืนให้จึงจะถือว่าจำเลยตกอยู่ในฐานะทุจริตจำเดิมแต่เวลาที่ถูกเรียกคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 415 วรรคสอง และตกเป็นผู้ผิดนัดจะต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่เวลานั้นเป็นต้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 203 วรรคแรก และมาตรา 204 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 224 วรรคหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าก่อนฟ้องจำเลยยังไม่ได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้คืนเงินดังกล่าวโดยชอบ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยเพราะเหตุผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share