คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4018/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ถือบัตรเครดิตของธนาคารก. ไม่เคยนำบัตรเครดิตของธนาคารก. ไปสั่งซื้ออาหารหรือใช้บริการของจำเลยและไม่เคยลงลายมือชื่อในใบบันทึกรายการขายสินค้า ที่ร้านของจำเลย การที่จำเลยนำใบบันทึกรายการขาย สินค้าดังกล่าวที่เป็นเอกสารสิทธิปลอมไปใช้เบิกเงิน จากธนาคารก.จนได้รับเงินจากธนาคารก.แล้วจึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกง ธนาคารก. ที่จำเลยฎีกาว่า ธนาคารก. ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องไม่ใช่ผู้เสียหายนั้น แม้จำเลยให้การรับสารภาพและจำเลย ไม่ได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวตั้งแต่ศาลชั้นต้น แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย จำเลยผู้ฎีกายกขึ้นอ้างได้ การที่จำเลยนำใบบันทึกรายการขายปลอมไปใช้เบิกเงิน จากธนาคารก. จนได้รับเงินจากธนาคารก. แล้วธนาคารก. จึงเป็นผู้เสียหายหาใช่ผู้ถือบัตรเครดิตที่ถูกปลอมลายมือชื่อเป็นผู้เสียหายไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 กันยายน 2536 เวลากลางวันถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2536 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมใบบันทึกรายการขาย (แผ่นเซลสลิป) ของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนชนเกษม ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิขึ้นทั้งฉบับ โดยนำแบบพิมพ์ใบบันทึกรายการขายของธนาคารดังกล่าวซึ่งเป็นแบบพิมพ์แท้จริงที่ธนาคารมอบไว้กับจำเลยที่ 1 มากรอกข้อความว่า สมาชิกบัตรเครดิตของธนาคาร หมายเลขที่ระบุในฟ้องได้มารับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้านเก้าหยกของจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 1,130 บาท และ 1,950 บาท 2,160 บาท และ 1,456 บาท 2,350 บาท และ 1,630 บาท 1,950 บาท และ 2,650 บาท 1,820 บาท และ 952 บาท 2,350 บาท และ 2,771 บาท 2,796 บาท และ 1,957 บาท 1,252 บาท และ 2,135 บาท ตามลำดับ โดยชำระราคาด้วยบัตรเครดิต แล้วลงลายมือชื่อปลอมของผู้ถือบัตรนั้น ๆ ในช่องลายมือชื่อผู้ถือบัตร เพื่อแสดงว่าผู้ถือบัตรดังกล่าวกับพวกได้มารับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้านเก้าหยก อันเป็นการกรอกข้อความและลงลายมือชื่ออันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารอันแท้จริงความจริงแล้วนายรณชัยกับพวกไม่ได้รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ร้านเก้าหยกและไม่ได้ทำเอกสารสิทธิดังกล่าว การกระทำดังกล่าวเป็นการปลอมเอกสารสิทธิและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถือบัตรกับพวก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้อื่น และประชาชนทั่วไปที่เกี่ยวข้อง ต่อมาจำเลยทั้งสอง โดยเจตนาทุจริตร่วมกันหลอกลวงนายเสริมศักดิ์ แสวงทรัพย์ ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนชนเกษม ผู้เสียหาย ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความอันเป็นจริงอันควรบอกให้แจ้งว่า เมื่อวันดังกล่าวผู้ถือบัตรตามฟ้องได้มารับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้านของจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 1,630 บาท และ 2,350 บาท 2,771 บาท และ 2,350 บาท และ 1,130 บาท 2,650 บาท และ 1,950 บาท 952 บาท และ 1,820 บาท 1,957 บาท และ 2,796 บาท 2,135 บาท และ 1,252 บาท 1,456 บาท และ 2,160 บาท ตามลำดับ แล้วชำระราคาด้วยบัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หมายเลข 0200 0101 4208 3119หมายเลข 0200 0100 7049 4114 หมายเลข 0200 0101 1464 1118หมายเลข 0200 0101 4217 2110 หมายเลข 0200 1100 4954 0110หมายเลข 0200 0100 4905 1110 หมายเลข 0200 1200 0007 3118และหมายเลข 0200 0100 7728 9111 ตามลำดับ จำเลยที่ 1 ได้ทำหน้าที่กรอกข้อความลงในใบบันทึกรายการขายตามหน้าที่และนายประคองกับพวกได้ลงลายมือชื่อในใบบันทึกรายการขายซึ่งเป็นความเท็จ แล้วจำเลยทั้งสองร่วมกันกล่าวอ้างใช้เอกสารสิทธิใบบันทึกรายการขายที่ปลอมขึ้นมาแสดงต่อนายเสริมศักดิ์เพื่อให้หลงเชื่อว่าข้อความเท็จเป็นความจริงและเอกสารสิทธิปลอมเป็นเอกสารที่แท้จริง ความจริงแล้วใบบันทึกรายการขายเป็นเอกสารสิทธิปลอม และนายประคองกับพวกไม่เคยมารับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้านจำเลยที่ 1 และไม่ได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้ซื้อสินค้า การกระทำของจำเลยทั้งสองน่าจะเกิดความเสียหายต่อธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นายเสริมศักดิ์ ผู้อื่น และประชาชนทั่วไปที่เกี่ยวข้องจากการหลอกลวงทำให้นายเสริมศักดิ์หลงเชื่อ และจำเลยทั้งสองได้รับเงินจำนวนดังกล่าวข้างต้นไปจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนชนเกษม เจ้าพนักงานยึดเครื่องรูด บัตรของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาถนนชนเกษม เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 268, 341 และคืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265, 341 เป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 ฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม จำคุก 3 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ของกลางคืนเจ้าของ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ประการแรกว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานใช้เอกสารปลอมและฉ้อโกงหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในบันทึกรายการขายดังกล่าวเป็นเอกสารสิทธิปลอม และข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 นำใบบันทึกรายการขายปลอมไปใช้เบิกเงินจากผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกง
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ไม่ใช่ผู้เสียหายนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 นำใบบันทึกรายการขายปลอมไปใช้เบิกเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จนได้รับเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) แล้ว ต่อมาภายหลังปรากฏว่าใบบันทึกรายการขายที่จำเลยที่ 1 นำไปเบิกเงินจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ปลอม ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จึงเป็นผู้เสียหายไม่ใช่ผู้ถือบัตรเครดิตที่ถูกปลอมลายมือชื่อเป็นผู้เสียหายตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาตามปัญหานี้ แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวตั้งแต่ศาลชั้นต้น แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยจำเลยที่ 1 ผู้ฎีกายกขึ้นอ้างได้
พิพากษายืน

Share