แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 27 บัญญัติเรื่องโทษไว้ว่า สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงิน 4 เท่าราคาของซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว และมาตรา 27 ทวิ เป็นบทบัญญัติต่อท้าย และเป็นความผิดต่อเนื่องจากมาตรา 27 แม้ในมาตรา 27 ทวิจะมิได้บัญญัติถึงข้อความเจาะจงลงไปว่าความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ด้วยก็ตาม ก็ย่อมมีความหมายเช่นเดียวกับมาตรา 27 ฉะนั้น ถ้าศาลจะปรับจำเลยเรียงตัวคนละ 4 เท่าราคาของรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว ก็จะเป็นการปรับจำเลยสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ เกินกว่า 4 เท่าขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าว และมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรบัญญัติไว้เป็นพิเศษว่า เมื่อบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้แตกต่างกับกฎหมายอื่น ให้ยกเอาบทพระราชบัญญัตินี้ขึ้นบังคับ จึงเอามาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาบังคับไม่ได้ จึงต้องปรับจำเลยรวมกันไม่เกิน 4 เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2509).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยรับสารภาพฟังได้ว่าเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๐๖ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๒ ร่วมกันรับบุหรี่ซาเลมที่ทำขึ้นในต่างประเทศโดยรู้ว่ามีผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านด่านศุลกากร หลีกเลี่ยงไม่เสียอากร ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ ทวิ (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๐ ปรับเรียงตัวคนละ ๑๓,๘๐๙.๖๐ บาท(สี่เท่าราคาของกลางรวมค่าอากร) ลดรับสารภาพกึ่งหนึ่ง ปรับ ๖,๙๐๔.๘๐ บาท จ่ายสินบนและรางวัลตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดมาตรา ๕,๖,๗,๘ ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า อัตราปรับครั้งหนึ่ง ๆ ๔ เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว ไม่ใช่ปรับตามความผิดเป็นรายตัวบุคคล พิพากษาแก้ ลดรับสารภาพกึ่งหนึ่งแล้ว ปรับจำเลยรวมกัน ๖,๙๐๔.๘๐ บาท หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้แบ่งกักขังแทนคนละ ๖ เดือน นอกนั้นยืน
โจทก์ฎีกาว่า พระราชบัญญัติศุลกากรมาตรา ๒๗ นั้น มิได้บัญญัติข้อความเฉพาะเจาะจงลงไปว่า”สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ” ดังมาตรา ๒๗ กรณีจึงปรับได้กับหลักกฎหมายทั่วไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑ ซึ่งบัญญัติให้ศาลลงโทษตามรายตัวบุคคลไป ขอให้ลงโทษตามศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗ บัญญัติในเรื่องโทษไว้ว่า สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงิน ๔ เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วและมาตรา ๒๗ ทวิ เป็นบทบัญญัติต่อท้าย และเป็นความผิดต่อเนื่องจากมาตรา ๒๗ นั่นเอง แม้ในมาตรา ๒๗ ทวิ จะมิได้บัญญัติข้อความเจาะจงลงไปว่าความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ด้วยก็ตาม ในเรื่องโทษนี้ก็ย่อมมีความหมายเช่นเดียวกับที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๗ ว่า สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ นั่นเอง ฉะนั้น ถ้าศาลจะปรับจำเลยเรียงตัวคนละ ๔ เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว ก็จะเป็นการปรับจำเลยสำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ เกินกว่า ๔ เท่าไป ขัดต่อบทกฎหมายมาตราดังกล่าว และในมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร มีบัญญัติไว้เป็นพิเศษว่า เมื่อบทบัญญัติในพระราชบัญญัตินี้แตกต่างกับกฎหมายอื่น ให้ยกเอาบทพระราชบัญญัตินี้ขึ้นบังคับ ในกรณีนี้จึงเอามาตรา ๓๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญามาบังคับไม่ได้ มติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่า ต้องปรับจำเลยรวมกันไม่เกิน ๔ เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว ดังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน.