คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4009/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้การที่โจทก์แสดงความประสงค์ลาออกจากงานต่อจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2557 โดยให้มีผลวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 เป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งการเลิกสัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลานั้นลูกจ้างมีสิทธิแสดงเจตนาได้แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่จำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งยินยอมตกลงหรืออนุมัติก็ตาม แต่ในระหว่างระยะเวลาที่สัญญาจ้างแรงงานยังมีผลบังคับอยู่นั้น นายจ้างและลูกจ้างยังคงมีนิติสัมพันธ์ต่อกันจนกว่าสัญญาจ้างแรงงานจะสิ้นผล คดีนี้ในระหว่างระยะเวลาที่สัญญาจ้างแรงงานยังมีผลบังคับอยู่นั้น จำเลยที่ 1 ตรวจพบการกระทำความผิดของโจทก์และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ในที่สุดจำเลยที่ 1 มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายค่าชดเชยหรือผลประโยชน์อื่นใดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2557 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2557 ซึ่งตรงกับข้อเท็จจริงดังที่ศาลแรงงานกลางฟังยุติมาว่าโจทก์ได้รับเงินจากผู้เอาประกันภัยแล้วไม่นำเงินเข้าฝากบัญชีของจำเลยที่ 1 และไม่ได้นำเงินมามอบให้แก่จำเลยที่ 1 ตามระเบียบคู่มือการปฏิบัติงานของฝ่ายการเงินของจำเลยที่ 1 ทำให้เงินของจำเลยที่ 1 ขาดหายไป เป็นการประพฤติผิดอย่างร้ายแรงขัดต่อระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 การที่โจทก์ลาออกโดยให้มีผลเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 แสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์คาดหมายได้ว่าจำเลยที่ 1 อาจตรวจพบการกระทำความผิดของโจทก์และหากคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้สอบสวนเสร็จจำเลยที่ 1 อาจมีคำสั่งลงโทษโจทก์ด้วยการไล่ออกหรือเลิกจ้างได้ แต่โจทก์ยังคงชิงลาออกเสียก่อนตามที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้ ทั้งเมื่อจำเลยที่ 1 มีหนังสือลงวันที่ 30 มกราคม 2558 ขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย หลังจากนั้นโจทก์จึงได้นำคดีมาฟ้องอ้างว่าตนได้ลาออกจากการทำงานกับจำเลยที่ 1 ทั้งนี้เท่ากับอ้างเพื่อให้ศาลแรงงานกลางเห็นว่าการเลิกจ้างของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบเพื่อมาเรียกร้องสิทธิในเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พฤติการณ์ทั้งหลายของโจทก์ส่อให้เห็นถึงความไม่สุจริตในการลาออกเพื่อที่จะแสวงหาประโยชน์จากการลาออกเนื่องจากหากโจทก์ถูกเลิกจ้างหรือไล่ออกเพราะเหตุทุจริตย่อมทำให้โจทก์เสียสิทธิที่จะได้รับเงินสมทบจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือสิทธิประโยชน์อื่นที่อาจจะได้รับตามกฎหมาย จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งกฎหมายและขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมาย แม้จำเลยที่ 1 จะมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์หลังจากโจทก์ลาออก แต่โจทก์อาศัยเหตุลาออกดังกล่าวมาเป็นมูลฟ้องร้องคดีนี้เพื่อให้ตนได้รับสิทธิประโยชน์ตามฟ้องอันเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตเช่นนี้ ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 5 โจทก์จึงไม่อาจอ้างเหตุจากการลาออกโดยไม่สุจริตเพื่อให้ตนได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากการลาออกและให้จำเลยที่ 2 ใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเกี่ยวกับการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันจ่ายเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์ของเงินสมทบเป็นเงิน 155,214.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปรากฏข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันกับที่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เนื่องจากเงินที่โจทก์ฟ้องเกี่ยวข้องเฉพาะกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากจำเลยที่ 1 และโจทก์เป็นสมาชิกของจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2538 จำเลยที่ 1 จ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการเงิน ออกใบวางบิลและเรียกเก็บเงินจากลูกค้าที่ทำสัญญาประกันกับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 มอบให้โจทก์มีสิทธิรับเบี้ยประกันจากลูกค้าและให้สิทธิในการเป็นตัวแทนขายประกันด้วย เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2557 โจทก์ได้แจ้งความประสงค์ขอลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2557 ก่อนจำเลยที่ 1 อนุมัติ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2557 ฝ่ายการเงินของจำเลยที่ 1 เสนอพิจารณาบทลงโทษตามระเบียบและข้อบังคับของจำเลยที่ 1 จากการปฏิบัติงานของโจทก์ โดยให้มีผลก่อนวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 อันสืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2557 ฝ่ายการเงินตรวจพบรายการผิดปกติจากการปฏิบัติงานในการส่งรายการตัดเบี้ยประกันไม่ถูกต้องตรงรายตัวแทนของการปฏิบัติงานเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2557 จำนวน 175,701.21 บาท และในวันเดียวกันคือวันที่ 12 พฤษภาคม 2557 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โจทก์ชี้แจงว่า “…ข้าพเจ้าโจทก์ทำงานผิดระเบียบทางการเงินของจำเลยที่ 1 หาหลักฐานตามยอดเงิน 5 รายการ รวมเป็นเงิน 769,011.55 บาท รับเงินแล้วตัดงานไม่ตรงราย นำสลักหลังของ UPD (บริษัทยูพีดีโบรกเกอร์ จำกัด) และรายอื่น ๆ ไปตัดเบี้ยในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง และนำเงินบัญชีพักรายอื่นไปตัดเบี้ยไม่ตรงราย จากรายการข้างต้นข้าพเจ้าจะหาหลักฐานมาแสดงเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อไป หากรายไหนไม่ได้ ข้าพเจ้ายินดีรับผิดชอบ…” วันที่ 3 กันยายน 2557 คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงสรุปรายงานการสอบสวนให้จำเลยที่ 1 ยังปรากฏว่าก่อนโจทก์แสดงเจตนาลาออกนั้นพบว่า เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2557 โจทก์รับเงินสดจากพนักงานเก็บเงิน จำนวน 15,222 บาท แต่มิได้นำเงินส่งส่วนรับชำระดำเนินการตัดชำระเบี้ยให้ลูกค้าทันที แต่กลับนำเงินจากบัญชีพักของบริษัทไปตัดชำระเบี้ยเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 และวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 รับเงินสดจากพนักงานเก็บเงิน จำนวน 43,876.19 บาท แต่ปรากฏว่าตรวจไม่พบว่าได้นำไปตัดชำระหนี้ให้กรมธรรม์ใด และโจทก์ได้รับเงินจากผู้เอาประกันภัย แล้วไม่นำเงินเข้าฝากบัญชีของจำเลยที่ 1 และไม่ได้นำเงินมามอบให้แก่จำเลยที่ 1 ตามระเบียบคู่มือการปฏิบัติงานของฝ่ายการเงินของจำเลยที่ 1 ทำให้เงินของจำเลยที่ 1 ขาดหายไป เป็นการประพฤติผิดอย่างร้ายแรงขัดต่อระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 วันที่ 14 ตุลาคม 2557 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งบอกเลิกจ้างโจทก์ผู้เป็นลูกจ้างเนื่องจากโจทก์มีพฤติกรรมโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ที่ตนเองมีหน้าที่รับผิดชอบในการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ และก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท รวมถึงเป็นการกระทำความผิดทางอาญาต่อบริษัทที่เป็นนายจ้าง ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัท หมวดที่ 6 วินัยและโทษทางวินัย ข้อ 42.2 (1) (7) (9) และ (18) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2557 และวันที่ 23 ธันวาคม 2557 จำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้างได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ในข้อหายักยอกทรัพย์ ต่อมาวันที่ 30 มกราคม 2558 จำเลยที่ 1 มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้โจทก์นำเงินค่าเสียหายมาชำระให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบว่าโจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 เนื่องจากถูกเลิกจ้างดังกล่าวข้างต้น การกระทำของโจทก์เป็นการประพฤติผิดอย่างร้ายแรงขัดต่อระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินสมทบในส่วนของนายจ้างที่ได้ชำระตามข้อบังคับของจำเลยที่ 2 ข้อ 6.3.2
มีปัญหาสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาและที่คู่ความไม่โต้แย้งกันว่า เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2557 โจทก์ได้แจ้งความประสงค์ขอลาออก โดยให้มีผลในวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 ก่อนจำเลยที่ 1 อนุมัติ เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2557 ฝ่ายการเงินของจำเลยที่ 1 เสนอพิจารณาบทลงโทษโจทก์ตามระเบียบของจำเลยที่ 1 ให้มีผลในวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 โดยเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2557 ฝ่ายการเงินได้ตรวจพบรายการผิดปกติในการปฏิบัติงานในการส่งรายการตัดเบี้ยประกันไม่ถูกต้องตรงรายตัวแทนของการปฏิบัติงานเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2557 จำนวน 175,701.21 บาท และในวันเดียวกันคือวันที่ 12 พฤษภาคม 2557 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โจทก์ชี้แจงว่า “ข้าพเจ้าโจทก์ทำงานผิดระเบียบทางการเงินของจำเลยที่ 1 หาหลักฐานตามยอดเงิน 5 รายการ รวมเป็นเงิน 769,011.55 บาท รับเงินแล้วตัดงานไม่ตรงราย นำสลักหลังของ UPD (บริษัทยูพีดีโบรกเกอร์ จำกัด) และรายอื่น ๆ ไปตัดเบี้ยในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง และนำเงินบัญชีพักรายอื่นไปตัดเบี้ยไม่ตรงราย จากรายการข้างต้นข้าพเจ้าจะหาหลักฐานมาแสดงเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อไป หากรายไหนไม่ได้ ข้าพเจ้ายินดีรับผิดชอบ…” ต่อมาวันที่ 3 กันยายน 2557 คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงสรุปรายงานการสอบสวนว่า ก่อนโจทก์แสดงเจตนาลาออกนั้นพบว่าเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2557 โจทก์รับเงินสดจากพนักงานเก็บเงินจำนวน 15,222 บาท แต่มิได้นำเงินส่งส่วนรับชำระดำเนินการตัดชำระเบี้ยให้ลูกค้าทันที แต่กลับนำเงินจากบัญชีพักของบริษัทไปตัดชำระเบี้ยเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 และวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2557 รับเงินสดจากพนักงานเก็บเงิน จำนวน 43,876.19 บาท แต่ปรากฏว่าตรวจไม่พบว่าได้นำไปตัดชำระหนี้ให้กรมธรรม์ใด และโจทก์ได้รับเงินจากผู้เอาประกันภัย แล้วไม่นำเงินเข้าฝากบัญชีของจำเลยที่ 1 และไม่ได้นำเงินมามอบให้แก่จำเลยที่ 1 ตามระเบียบคู่มือการปฏิบัติงานของฝ่ายการเงินของจำเลยที่ 1 ทำให้เงินของจำเลยที่ 1 ขาดหายไป เป็นการประพฤติผิดอย่างร้ายแรงขัดต่อระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 วันที่ 14 ตุลาคม 2557 จำเลยที่ 1 มีคำสั่งบอกเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์มีพฤติกรรมโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ที่ตนเองมีหน้าที่รับผิดชอบในการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ และก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 1 รวมถึงเป็นการกระทำความผิดทางอาญาต่อจำเลยที่ 1 ที่เป็นนายจ้าง ถือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 หมวดที่ 6 วินัยและโทษทางวินัย ข้อ 42.2 (1) (7) (9) และ (18) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2557 และต่อมาเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2558 จำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย เห็นว่า แม้การที่โจทก์แสดงความประสงค์ลาออกจากงานต่อจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2557 โดยให้มีผลวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 เป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน ซึ่งการเลิกสัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลานั้นลูกจ้างมีสิทธิแสดงเจตนาได้แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่จำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งยินยอมตกลงหรืออนุมัติก็ตาม แต่ในระหว่างระยะเวลาที่สัญญาจ้างแรงงานยังมีผลบังคับอยู่นั้น นายจ้างและลูกจ้างยังคงมีนิติสัมพันธ์ต่อกันจนกว่าสัญญาจ้างแรงงานจะสิ้นผล สำหรับคดีนี้ในระหว่างระยะเวลาที่สัญญาจ้างแรงงานยังมีผลบังคับอยู่นั้น จำเลยที่ 1 ตรวจพบการกระทำผิดของโจทก์และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ในที่สุดจำเลยที่ 1 มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายค่าชดเชยหรือผลประโยชน์อื่นใด เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2557 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2557 ซึ่งตรงกับข้อเท็จจริงดังที่ศาลแรงงานกลางฟังยุติมาว่าโจทก์ได้รับเงินจากผู้เอาประกันภัยแล้วไม่นำเงินเข้าฝากบัญชีของจำเลยที่ 1 และไม่ได้นำเงินมามอบให้แก่จำเลยที่ 1 ตามระเบียบคู่มือการปฏิบัติงานของฝ่ายการเงินของจำเลยที่ 1 ทำให้เงินของจำเลยที่ 1 ขาดหายไป เป็นการประพฤติผิดอย่างร้ายแรงขัดต่อระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 การที่โจทก์ลาออกโดยให้มีผลเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 แสดงให้เห็นได้ว่าโจทก์คาดหมายได้ว่า จำเลยที่ 1 อาจตรวจพบการกระทำความผิดของโจทก์ และหากคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้สอบสวนเสร็จ จำเลยที่ 1 อาจมีคำสั่งลงโทษโจทก์ด้วยการไล่ออกหรือเลิกจ้างได้ แต่โจทก์ยังคงชิงลาออกเสียก่อนตามที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้ ทั้งเมื่อจำเลยที่ 1 มีหนังสือลงวันที่ 30 มกราคม 2558 ขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย หลังจากนั้นโจทก์จึงได้นำคดีนี้มาฟ้องอ้างว่าตนได้ลาออกจากการทำงานกับจำเลยที่ 1 ทั้งนี้เท่ากับอ้างเพื่อให้ศาลแรงงานกลางเห็นว่าการเลิกจ้างของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบ เพื่อมาเรียกร้องสิทธิในเงินสมทบพร้อมผลประโยชน์จากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พฤติการณ์ทั้งหลายของโจทก์ส่อให้เห็นถึงความไม่สุจริตในการลาออกเพื่อที่จะแสวงหาประโยชน์จากการลาออกเนื่องจากหากโจทก์ถูกเลิกจ้างหรือไล่ออกเพราะเหตุทุจริต ย่อมทำให้โจทก์เสียสิทธิที่จะได้รับเงินสมทบจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือสิทธิประโยชน์อื่นที่อาจจะได้รับตามกฎหมาย จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งกฎหมายและขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมาย แม้จำเลยที่ 1 จะมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์หลังจากโจทก์ลาออก แต่โจทก์อาศัยเหตุลาออกดังกล่าวมาเป็นมูลฟ้องร้องคดีนี้เพื่อให้ตนได้รับสิทธิประโยชน์ตามฟ้องอันเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตเช่นนี้ ย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 โจทก์จึงไม่อาจอ้างเหตุจากการลาออกโดยไม่สุจริตเพื่อให้ตนได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ จากการลาออกและให้จำเลยที่ 2 ใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์ได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเกี่ยวกับการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5), 246 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ข้ออื่นอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน

Share