แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาจ้างมีข้อความว่า ถ้าโจทก์ผู้รับจ้างไม่มีทางจะทำงานให้แล้วเสร็จตามสัญญา จำเลยที่ 1 ผู้ว่าจ้างมีสิทธิเลิกสัญญาได้และหากเกิดความเสียหายใด ๆ จำเลยที่ 1 มีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชดใช้ได้ตามกฎหมาย เมื่อโจทก์ผิดสัญญาไม่ทำงานงวดที่ 1 และงวดที่ 2 ให้แล้วเสร็จ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต้องประมูลว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด จ. ทำงานต่อจากที่โจทก์ทำค้างไว้ในราคา1,800,000 บาท แพงกว่าราคาเดิมที่จำเลยที่ 1 ตกลงกับโจทก์ เงินจำนวน 375,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น จึงเป็นค่าเสียหายจำนวนน้อยที่สุดที่จำเลยที่ 1 ได้รับโดยตรงจากการปฏิบัติผิดสัญญาของโจทก์ โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลยที่ 1ตามข้อสัญญาดังกล่าว และเงินจำนวน 1,800,000 บาท ซึ่งเป็นค่าจ้างที่จำเลยที่ 1 จ่ายไปเพื่อทำงานต่อจากที่โจทก์ทำค้างไว้ให้เสร็จตามสัญญาเช่นนี้ ย่อมไม่อาจนำค่าของงานที่โจทก์ทำค้างไว้มาหักจากค่าเสียหายหรือค่าจ้างที่จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นได้ จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการที่โจทก์ผิดสัญญาไม่ทำงานให้แล้วเสร็จ อายุความใช้สิทธิเรียกร้องเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164จะนำอายุความเรียกร้องค่าเสียหายเกี่ยวกับการชำรุดบกพร่องของการที่ทำ ตามมาตรา 601 มาปรับไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาจ้างโจทก์ถมดินปรับปรุงบริเวณพร้อมก่อสร้างถนน ลาน และอาคารเก็บพัสดุภายในสถานีควบคุมการจ่ายไฟฟ้าย่อยบ้านใหม่ ปทุมธานี โดยโจทก์ได้มอบหนังสือรับรองของธนาคารกสิกรไทย จำนวน 109,600 บาท ให้จำเลยที่ 2 ไว้เป็นประกัน หลังจากทำสัญญาแล้ว โจทก์ทำงานงวดที่ 1 และงวดที่ 2 ควบคู่กัน โดยถมดินบดอัดแน่นลงหินลูกรังรองพื้นลานถนนลงหินคลุก และอัดแผ่นผิวลานและไหล่ถนนตามแบบแปลน สิ้นค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 559,350 บาท ต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน 2525 จำเลยสั่งให้โจทก์ระงับการก่อสร้างไว้ชั่วคราว เพราะจำเลยจำเป็นต้องใช้ถนนขนหม้อแปลงไฟฟ้าขนาด 50 ตัน 2 ลูก เสาไฟฟ้าขนาดใหญ่และอุปกรณ์ติดตั้งจำนวนมาก และให้โจทก์ทำงานงวดที่ 3 ต่อไป ปรากฏว่าจำเลยทำให้ถนนซึ่งโจทก์ทำไว้อย่างดีพร้อมที่จะเทคอนกรีตได้เสียหายหมดแล้วไม่ยอมทำให้กลับคืนสภาพเดิมและไม่ยอมให้มีการขยายระยะเวลาก่อสร้าง ทำให้โจทก์เสียหาย งวดสองงวดนี้หากทำแล้วเสร็จ โจทก์จะได้รับผลประโยชน์ 50,000 บาท และในการส่งมอบงานงวดที่ 3 จำเลยหักเงินค่าทำความสะอาดบริเวณก่อสร้างจากโจทก์ไว้ 20,000 บาทแต่เมื่อโจทก์ทำความสะอาดเสร็จแล้ว จำเลยกลับเพิกเฉยไม่ยอมคืนให้ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 632,975 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และคืนหนังสือรับรองของธนาคารกสิกรไทยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า ตามสัญญาโจทก์จะต้องทำงานทั้งสามงวดให้เสร็จภายในวันที่ 19 พฤษภาคม 2525 วันที่ 23มิถุนายน 2525 และวันที่ 22 สิงหาคม 2525 ตามลำดับ จำเลยไม่เคยสั่งให้โจทก์ระงับการก่อสร้าง โจทก์ละเลยไม่เร่งรัดงานจนถึงวันที่ 12 ธันวาคม 2525 โจทก์คงส่งมอบงานให้จำเลยเฉพาะงานงวดที่ 3 ได้งวดเดียว งานงวดที่ 1 และงวดที่ 2 ทำไปได้ประมาณร้อยละสิบ คือถมดินและลูกรังบางส่วนเท่านั้น กิจการของจำเลยเป็นสาธารณูปโภค ต้องทำตามกำหนดและแผนการ จำเลยจำเป็นต้องใช้ถนนขนหม้อแปลงไฟฟ้าเข้าไปยังสถานีจ่ายไฟ และใช้เมื่อพ้นกำหนดตามสัญญาแล้ว ใช้แล้วยังปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม โจทก์ไม่ทำงานต่อและเจตนาละทิ้งงาน จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาและว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญพัฒนาทำงานที่เหลือต่อเป็นเงิน 1,800,000 บาท แพงกว่าสัญญาเดิม 375,000 บาท โจทก์ต้องรับผิดชดใช้แก่จำเลยและต้องชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันผิดนัดทวงถามคือวันที่6 พฤษภาคม 2528 ถึงวันฟ้องแย้งเป็นเงิน 9,375 บาท โจทก์ไม่ได้ทำความสะอาดบริเวณก่อสร้าง ทั้งยังต้องเสียค่าปรับฐานทำงานล่าช้าแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 24,255 บาท จึงไม่มีสิทธิเรียกคืนเงินค่าประกันการทำความสะอาด ขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์ให้ชดใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยเป็นเงิน 384,375 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 375,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาตามฟ้องแทนจำเลยที่ 1 เท่านั้น จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา นอกจากจะสั่งให้ระงับทำงานงวดที่ 1 และงวดที่ 2 แล้ว จำเลยยังใช้ถนนอยู่จนพ้นกำหนดสัญญาและจ้างผู้รับจ้างรายใหม่ทำงานมากกว่าสัญญาเดิมโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าวัสดุก่อสร้างและค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 เงินค่าประกันการทำความสะอาดและหนังสือรับรองของธนาคารมิใช่เงินมัดจำเมื่อสัญญาเลิกกัน จำเลยที่ 1 ต้องคืนแก่โจทก์ แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้คืนหนังสือรับรองให้แก่ธนาคารแล้ว จำเลยที่ 2 มิได้ทำการนอกเหนือจากที่ได้รับมอบหมาย ไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1ริบทรัพย์สินและผลงานของโจทก์ที่ทำไปแล้วตามสัญญาจึงไม่เสียหายอย่างใดอีก พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 20,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 3 มกราคม2526 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจ้างเหมาโจทก์ก่อสร้างถนน ลาน และอาคารเก็บพัสดุในสถานีควบคุมการจ่ายไฟฟ้าย่อยบ้านใหม่ อำเภอเมืองปทุมธานีของจำเลยที่ 1 ในราคา 2,192,000 บาท โดยแบ่งงานและการชำระเงินเป็น 3 งวด สองงวดแรกเป็นงานก่อสร้างถนนและลาน งวดที่ 1 เป็นเงิน767,000 บาท กำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 19 พฤษภาคม 2525งวดที่ 2 เป็นเงิน 658,000 บาท กำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่23 มิถุนายน 2525 งวดที่ 3 เป็นงานก่อสร้างอาคาร โรงเก็บพัสดุเป็นเงิน 767,000 บาท กำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 22 สิงหาคม2525 โจทก์ทำงานงวดที่ 3 เสร็จและส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2525 จำเลยที่ 1 ชำระค่าจ้างแก่โจทก์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนงานสองงวดแรกโจทก์ทำไม่เสร็จและทิ้งงานจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้วได้เรียกประมูลก่อสร้างงานต่อจากที่โจทก์ทำค้างไว้ ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญพัฒนาเป็นผู้ประมูลได้ในราคา 1,800,000 บาท ซึ่งแพงกว่าราคาตามสัญญาที่ตกลงว่าจ้างโจทก์เป็นเงิน 375,000 บาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญพัฒนาได้ทำงานต่อจากที่โจทก์ทำค้างไว้แล้วเสร็จและได้รับค่าจ้างจากจำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 1 มีหนังสือทวงถามโจทก์ให้ชำระเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจำนวน 375,000 บาทนั้นแล้ว
พิเคราะห์แล้ว ในประเด็นเรื่องค่าเสียหายของจำเลยที่ 1 นั้นเห็นว่าตามสัญญาจ้างหมาย ป.จ. 2 ข้อ 2 มีข้อความระบุไว้ชัดเจนว่าถ้าโจทก์ผู้รับจ้างไม่มีทางจะทำงานให้แล้วเสร็จตามสัญญา จำเลยที่ 1ผู้ว่าจ้างมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชดใช้ได้ตามกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ทำงานงวดที่ 1 และงวดที่ 2 ให้แล้วเสร็จ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต้องประมูลว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดเจริญพัฒนาทำงานต่อจากที่โจทก์ทำค้างไว้ในราคา 1,800,000 บาท แพงกว่าราคาที่จำเลยที่ 1 ตกลงกับโจทก์เงินจำนวน 375,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจึงเป็นค่าเสียหายจำนวนน้อยที่สุดที่จำเลยที่ 1 ได้รับโดยตรงจากการปฏิบัติผิดสัญญาของโจทก์ โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลยที่ 1ตามข้อกำหนดสัญญาจ้างดังกล่าวข้างต้น เงินจำนวน 1,800,000 บาทเป็นค่าจ้างที่จำเลยที่ 1 จ่ายไปเพื่อทำงานต่อจากโจทก์ทำค้างไว้ให้เสร็จตามสัญญาเช่นนี้ จึงจะนำค่าของงานที่โจทก์ทำค้างไว้มาหักจากค่าเสียหายหรือค่าจ้างที่จำเลยที่ 1 ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นหาได้ไม่ ตามฟ้องของโจทก์และทางพิจารณาข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้แต่ริบผลงานที่โจทก์ทำค้างไว้เท่านั้น จำเลยที่ 1หาได้ริบทรัพย์สินอื่นใดของโจทก์ไว้ไม่ ดังนั้นที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ริบทรัพย์สินและผลงานของโจทก์ที่ทำไปแล้วจึงไม่ได้รับความเสียหายอย่างใดอีก และพิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 มานั้น จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาแต่ปรากฏตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า ธนาคารกสิกรไทยผู้ออกหนังสือรับรองให้จำเลยที่ 1 ไว้เป็นประกันได้ชำระเงินจำนวน109,600 บาท ตามหนังสือรับรองนั้นให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว จึงคงเหลือค่าเสียหายที่โจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน265,400 บาท
ส่วนที่โจทก์แก้ฎีกาว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 นั้น เห็นว่ากรณีเป็นเรื่องจำเลยที่ 1 ใช้สิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าเสียหายอันเกิดจากการที่โจทก์ผิดสัญญาไม่ทำงานให้แล้วเสร็จ อายุความใช้สิทธิเรียกร้องเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น จึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 จะนำอายุความเรียกร้องค่าเสียหายเกี่ยวกับการชำรุดบกพร่องของการที่ทำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 มาปรับกับกรณีตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1ไม่ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 265,400 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 6พฤษภาคม 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์