แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและอาคารพิพาทระบุว่า จำเลยจะก่อสร้างอาคารที่ตกลงจะซื้อขายให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา 24 เดือน นับจากวันทำสัญญา แต่เมื่อระยะเวลาสิ้นสุดลงจำเลยยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างอาคาร ทั้งที่โจทก์ชำระค่างวดแก่จำเลยตลอดมาทั้ง 24 งวด ย่อมฟังได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาแล้ว
ส่วนที่สัญญาข้อ 5 กำหนดว่า ผู้จะซื้อตกลงว่ากำหนดระยะเวลา 24 เดือนดังกล่าวสามารถขยายออกไปเท่ากับระยะเวลาที่ต้องล่าช้า
อันเนื่องมาจากระเบียบข้อบังคับของทางราชการ ความล่าช้าในการขอรับใบอนุญาตหรือการอนุมัติที่จำเป็นใด ๆ จากทางราชการ
รวมทั้งการปฏิบัติผิดสัญญาของผู้รับเหมาหรือสถานการณ์เหตุการณ์อยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้จะขายตามข้อสัญญานั้น หมายความว่า เหตุจำเป็นที่จะสามารถขยายระยะเวลาออกไปได้เท่ากับเหตุที่ล่าช้านั้น และต้องไม่ใช่เป็นเพราะความผิดของจำเลยเอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๓๖ โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมอาคารจากจำเลยในราคา ๗๙๘,๔๐๐ บาท ในวันทำสัญญาโจทก์ได้วางเงินค่าจองไว้แก่จำเลยจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือจะผ่อนชำระแก่จำเลยเป็นรายเดือนอีกจำนวน ๒๕ งวด โดย ๒๔ งวด ชำระงวดละ ๕,๕๙๐ บาท และงวดที่ ๒๕ ชำระอีก ๑๕,๔๔๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก ๕๙๘,๘๐๐ บาท โจทก์จะชำระในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมอาคาร จำเลยสัญญาว่าจะก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายใน ๒๔ เดือน นับแต่วันทำสัญญา โจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว แต่จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ดำเนินการก่อสร้างโดยไม่ได้แจ้งเหตุขัดข้องให้โจทก์ทราบทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๓๕๘,๗๕๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๘๔,๑๖๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายกับโจทก์ตามฟ้องจริง ส่วนกำหนดเวลาการก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จภายใน ๒๔ เดือน นั้น เป็นเพียงการคาดหมาย ทั้งตามข้อสัญญาก็กำหนดให้สามารถขยายระยะเวลาออกไปได้ สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่ไม่มีกำหนดเวลาการชำระหนี้แน่นอน โจทก์มีหน้าที่ต้องบอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาให้ถูกต้องภายในระยะเวลาอันสมควร หากจำเลยยังไม่ดำเนินการ โจทก์จึงสามารถบอกเลิกสัญญากับจำเลยได้ การบอกเลิกสัญญาทันทีโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้าให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาและมิได้กำหนดวันรับโอนกรรมสิทธิ์ จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาที่ไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑๘๔,๑๖๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓ มกราคม ๒๕๓๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ ๗,๐๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการแรกว่า จำเลยผิดสัญญาและโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่จำต้องบอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาก่อนหรือไม่ เห็นว่า สัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทระบุว่า จำเลยจะก่อสร้างอาคารที่ตกลงจะซื้อขายให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลา ๒๔ เดือน นับจากวันทำสัญญา แต่เมื่อระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาสิ้นสุดลงปรากฏว่าจำเลยยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างอาคารให้แก่โจทก์ ทั้งที่โจทก์ได้ชำระค่างวดแก่จำเลยตลอดมาทั้ง ๒๔ งวด ย่อมฟังได้โดยชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาแล้ว ที่จำเลยอ้างว่า จำเลยไม่ได้ผิดสัญญาเพราะสัญญาระบุไว้ให้สามารถขยายเวลาการก่อสร้างอาคารออกไปได้ เห็นว่า สัญญาจะซื้อขายข้อ ๕ กำหนดว่า ผู้จะซื้อตกลงว่ากำหนดระยะเวลา ๒๔ เดือน ดังกล่าว สามารถขยายออกไปเท่ากับระยะเวลาที่ต้องล่าช้า
อันเนื่องมาจากระเบียบข้อบังคับของทางราชการ ความล่าช้าในการขอรับใบอนุญาต หรือการอนุมัติที่จำเป็นใด ๆ จากทางราชการ
รวมทั้งการปฏิบัติผิดสัญญาของผู้รับเหมาหรือสถานการณ์เหตุการณ์นี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของผู้จะขาย ตามข้อสัญญาดังกล่าวนั้นย่อมหมายความว่า จำเลยมีหน้าที่จะต้องสร้างอาคารพิพาทให้แล้วเสร็จภายใน ๒๔ เดือน เว้นแต่มีเหตุจำเป็นดังระบุไว้อันทำให้ไม่สามารถก่อสร้างได้ทันภายในกำหนดจึงจะสามารถขยายระยะเวลาออกไปได้เท่ากับเหตุที่ล่าช้านั้น ซึ่งเหตุแห่งการล่าช้าต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความผิดของจำเลยเองที่ไม่ดำเนินการจัดทำระบบสาธารณูปโภคให้แล้วเสร็จเพื่อที่ทางราชการจะได้ออกใบอนุญาตจัดสรรให้จำเลย เหตุแห่งการล่าช้าดังกล่าวนั้นจึงไม่ใช่เหตุตามสัญญาที่จำเลยจะนำมาอ้างเพื่อขยายระยะเวลาการก่อสร้างอาคารพิพาทออกไปจากที่ได้ตกลงกันไว้แต่แรก เมื่อจำเลยรับเงินค่างวดจากโจทก์ตลอดมารวม ๒๔ งวดแล้ว จำเลยก็ยังมิได้ลงมือดำเนินการก่อสร้างอาคารพิพาทให้แก่โจทก์ตามที่ตกลงกัน พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะก่อสร้างอาคารให้แล้วเสร็จตามสัญญา ดังนั้นเมื่อโจทก์ชำระค่างวดแก่จำเลยถูกต้องตามสัญญาซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของสัญญาต่างตอบแทน แต่จำเลยมิได้ก่อสร้างอาคารตามระยะเวลาที่กำหนดไว้โดยไม่มีเหตุตามสัญญาที่จะขยายระยะเวลาดังกล่าวออกไปได้ ถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา เช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันทีโดยมิพักต้องบอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาก่อนดังที่จำเลยฎีกา ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๕,๐๐๐ บาท แทนโจทก์