คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6541/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีไม่มีข้อยุ่งยากอย่างคดีมโนสาเร่ ซึ่งกฎหมายให้ศาลดำเนินการพิจารณาไปโดยไม่ชักช้า แต่ต้องมิให้เป็นการเสียหายแก่การต่อสู้คดีตามนัยแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 196 เมื่อปรากฏว่าจำเลยมาศาลในวันที่กำหนดไว้ในหมายเรียกและยื่นคำให้การเป็นหนังสือพร้อมกับฟ้องแย้งมาในคำให้การด้วย ศาลชั้นต้นชอบที่จะตรวจดูคำให้การและฟ้องแย้งนั้น แล้วสั่งให้รับไว้หรือคืนไปหรือสั่งไม่รับตามนัยแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสี่ เสียก่อน หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องแย้งและยังคงให้ดำเนินการพิจารณาอย่างคดีมโนสาเร่ต่อไป ศาลชั้นต้นก็ต้องสอบถามคำให้การของโจทก์ทั้งสองก่อนว่าโจทก์ทั้งสองจะยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งเป็นหนังสือหรือจะให้การด้วยวาจาหรือไม่ตามนัยแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 193 วรรคสาม การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การอย่างเดียวโดยยังไม่มีคำสั่งฟ้องแย้งของจำเลยว่า รับหรือไม่รับหรือคืนแก่จำเลย และดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ทั้งสองจนเสร็จสิ้นแล้วจึงมีคำสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยในภายหลัง และดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยโดยไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้แจ้งคำสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยให้โจทก์ทั้งสองทราบและสอบถามโจทก์ทั้งสองว่าจะให้การแก้ฟ้องแย้งด้วยวาจาหรือกำหนดให้โจทก์ทั้งสองแก้ฟ้องแย้งด้วยวาจาหรือไม่ หรือโจทก์ทั้งสองไม่ให้การแก้ฟ้องแย้งหรือไม่ จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ และการที่ศาลชั้นต้นรับฟังพยานหลักฐานของจำเลยซึ่งนำสืบภายหลังว่าจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองครบถ้วนแล้ว โดยโจทก์ทั้งสองไม่มีโอกาสนำสืบแสดงพยานหลักฐานให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในการพิจารณาคดีและการพิจารณาพยานหลักฐาน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนคำพิพากษาและคำสั่งนั้นเสียได้ แม้โจทก์ทั้งสองจะไม่ได้มีคำขอเช่นนั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบมาตรา 195, 243, 246 และ 247

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า จำเลยกู้ยื่มเงินโจทก์ทั้งสองจำนวน 600,000 บาท ตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านครึ่งตึกครึ่งไม่ให้เป็นประกันแก่โจทก์ทั้งสอง หลังจากนั้นจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2537 จำนวน 320,000 บาท และกู้ยืมเงินโจทก์ทั้งสองเพิ่มหลายครั้งคือ วันที่ 1 กันยายน 2538 จำนวน 100,000 บาท วันที่ 27 พฤศจิกายน 2538 จำนวน 100,000 บาท วันที่ 30 พฤศจิกายน 2538 จำนวน 100,000 บาท และวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2539 จำนวน 50,000 บาท โดยจำเลยมอบให้นางสุรีย์ ขุนหมื่น กู้ยืมเงินเพิ่มแทน รวมแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งสองจำนวน 630,000 บาท จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2539 โจทก์ทั้งสองให้ทนายความมีหนังสือทวงถามจำเลยให้ชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสอง แต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยต้องรับผิดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 630,000 บาท นับแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2539 ถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2542 เป็นจำนวน 283,500 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2542 ถึงวันฟ้อง เป็นจำนวน 11,418 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 924,918 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 630,000 นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 499 ตำบลเขาวัว อำเภอพลอยแหวน จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองจนครบ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์ทั้งสองจำนวน 600,000 บาท โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยผ่อนชำระต้นเงินกับดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสองเรื่อยมา โดยเดือนพฤศจิกายน 2537 ถึงเดือนตุลาคม 2539 ชำระเป็นจำนวน 193,200 บาท วันที่ 7 มีนาคม 2538 ชำระจำนวน 320,000 บาท และวันที่ 4 เมษายน 2539 ถึงวันที่ 27 สิงหาคม 2539 ชำระเป็นจำนวน 115,000 บาท รวมชำระแล้วจำนวน 628,200 บาท จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินเพิ่มหรือรับเงินกู้ยืมเพิ่มจากโจทก์ทั้งสองตามฟ้อง จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองจนครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์ทั้งสองจดทะเบียนไถ่ถอนทรัพย์จำนองและคืนโฉนดที่ดินแก่จำเลย
ไม่ปรากฏคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์ทั้งสองเป็นหนังสือหรือด้วยวาจา ถือว่าโจทก์ทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ทั้งสองไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 499 ตำบลเขาวัง อำเภอพลอยแหวน จังหวัดจันทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองกับจำเลยไม่โต้เถียงกันฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2537 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ทั้งสองจำนวน 600,000 บาท ตกลงให้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี โดยจำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 499 ตำบลเขาวัว อำเภอพลอยแหวน จังหวัดจันทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ เลขที่ 9 หมู่ที่ 4 ตำบลเขาวัว อำเภอพลอยแหวน จังหวัดจันทบุรี เป็นประกันแก่โจทก์ทั้งสองตามสำเนาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.2 วันที่ 7 มีนาคม 2538 จำเลยชำระต้นเงินแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน 320,000 บาท คงเหลือหนี้จำนวน 280,000 บาท เห็นว่า คดีนี้ไม่ใช่คดีมโนสาเร่ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีอย่างคดีมโนสาเร่ ซึ่งกฎหมายให้ศาลดำเนินการพิจารณาไปโดยไม่ชักช้าแต่ต้องมิให้เป็นการเสียหายแก่การต่อสู้คดีตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 196 เมื่อปรากฏว่าจำเลยมาศาลในวันที่กำหนดไว้ในหมายเรียกและยื่นคำให้การเป็นหนังสือพร้อมกับฟ้องแย้งมาในคำให้การด้วย ศาลชั้นต้นชอบที่จะตรวจดูคำให้การและฟ้องแย้งนั้น แล้วสั่งให้รับไว้หรือคืนไปหรือสั่งไม่รับตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสี่ เสียก่อน หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฟ้องแย้งและยังคงให้ดำเนินการพิจารณาอย่างคดีมโนสาเร่ต่อไป ศาลชั้นต้นก็ต้องสอบถามคำให้การของโจทก์ทั้งสองก่อนว่าโจทก์ทั้งสองจะยื่นคำให้การแก้ฟ้องแย้งเป็นหนังสือหรือจะให้การด้วยวาจาหรือไม่ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 193 วรรคสาม การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การอย่างเดียว โดยยังไม่มีคำสั่งฟ้องแย้งของจำเลยว่า รับหรือไม่รับหรือคืนแก่จำเลย และดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ทั้งสองจนเสร็จสิ้น แล้วจึงมีคำสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยในภายหลัง และดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยโดยไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้แจ้งคำสั่งรับฟ้องแย้งของจำเลยให้โจทก์ทั้งสองทราบ และสอบถามโจทก์ทั้งสองว่าจะให้การแก้ฟ้องแย้งด้วยวาจาหรือกำหนดให้โจทก์ทั้งสองแก้ฟ้องแย้งด้วยวาจาหรือไม่ หรือโจทก์ทั้งสองไม่ให้การแก้ฟ้องแย้งหรือไม่ จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ และการที่ศาลชั้นต้นรับฟังพยานหลักฐานของจำเลยซึ่งนำสืบภายหลังว่าจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองครบถ้วนแล้ว โดยโจทก์ทั้งสองไม่มีโอกาสนำสืบแสดงพยานหลักฐานให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในการพิจารณาคดีและการพิจารณาพยานหลักฐาน เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนคำพิพากษาและคำสั่งนั้นเสียได้ แม้โจทก์ทั้งสองจะไม่ได้มีคำขอเช่นนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบมาตรา 195, 243, 246 และ 247 ไม่จำต้องพิจารณาต่อไปว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งสองเพียงใด และจำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสองครบถ้วนแล้วหรือไม่”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ส่งสำนวนคืนไปยังศาลชั้นต้นเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาให้ถูกต้องแล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่

Share