แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บทบัญญัติประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 มิได้มีข้อบังคับว่าโทษในคดีก่อนที่ศาลรอการลงโทษไว้กับโทษในคดีหลังจะต้องเป็นโทษจากความผิดฐานเดียวกัน จึงจะนำมาบวกโทษได้ และมิได้มีข้อยกเว้นเกี่ยวกับอายุของผู้กระทำความผิด แม้ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุไม่เกิน 17 ปี ศาลก็นำโทษของจำเลยในคดีก่อนที่รอการลงโทษไว้บวกกับโทษในคดีหลังได้
โจทก์บรรยายฟ้องขอให้ศาลบวกโทษที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษในคดีหลัง และในคำขอท้ายฟ้องโจทก์ก็ได้ระบุว่า ขอให้ศาลสั่งบวกโทษจำเลยตามกฎหมาย ศาลย่อมมีอำนาจบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้ได้ แม้โจทก์จะมิได้ระบุถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 ไว้ในคำขอท้ายฟ้องโจทก์ก็ตาม เพราะมาตราดังกล่าวมิใช่เป็นมาตราที่บัญญัติว่าเป็นการกระทำความผิดอันจำต้องอ้างมาในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (6)
ปัญหาว่า การบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 จะต้องเป็นความผิดฐานเดียวกัน ขณะกระทำความผิดอายุต้องเกิน 17 ปี และต้องอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 ในคำขอท้ายฟ้องหรือไม่นั้น ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 จำเลยก็ยกขึ้นในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายโดยชกต่อยและเตะถีบทำร้ายร่างกายนาย ธ. ผู้เสียหายที่ ๑ นาย ก. ผู้เสียหายที่ ๒ ถูกที่บริเวณใบหน้าและลำตัว จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ , ๒๙๕ จำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อนอยู่ระหว่างรอการลงโทษ จึงขอให้บวกโทษจำเลยตามกฎหมายด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ ประกอบมาตรา ๘๓ จำเลยอายุไม่เกิน ๑๗ ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ จำคุก ๘ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๔ เดือน นำโทษจำคุก ๖ เดือน ที่รอการลงโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๒๑๗๘/๒๕๔๓ ของศาลชั้นต้นบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ รวมเป็นจำคุก ๑๐ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าการบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘ จะต้องเป็นความผิดฐานเดียวกัน และขณะกระทำผิดอายุต้องเกิน ๑๗ ปี และตามคำขอท้ายฟ้องจะต้องระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘ ด้วยนั้น ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ภาค ๗ จำเลยก็ยกขึ้นฎีกาในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๕ สำหรับปัญหาตามที่จำเลยฎีกาข้อกฎหมายข้อแรกว่าการบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘ จะต้องเป็นความผิดฐานเดียวกัน และขณะกระทำผิดจำเลยอายุไม่เกิน ๑๗ ปี จึงไม่อาจนำบทมาตราดังกล่าวมาบังคับแก่จำเลยได้ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘ บัญญัติว่า ถ้าภายในเวลาที่ศาลกำหนดตามมาตรา ๕๖ ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาได้กระทำความผิด อันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษและศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดนั้น ให้ศาลที่พิพากษาคดีหลังกำหนดโทษที่รอการกำหนดไว้ในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษในคดีหลัง หรือบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังแล้วแต่กรณี บทมาตราดังกล่าวมิได้มีข้อบังคับว่าโทษในคดีก่อนที่ศาลรอการลงโทษไว้ กับโทษในคดีหลังจะต้องเป็นโทษจากความผิดฐานเดียวกันจึงจะบวกโทษได้และมิได้มีข้อยกเว้นเกี่ยวกับอายุของผู้กระทำผิด ดังนั้น ศาลจึงนำโทษของจำเลยในคดีก่อนที่รอการลงโทษไว้บวกกับโทษในคดีหลังได้ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อกฎหมายต่อมาว่าตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้ระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘ ไว้ด้วย ศาลจึงไม่อาจบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังได้ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า ก่อนคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ๖ เดือน ปรับ ๔,๐๐๐ บาท โทษจำคุกรอไว้มีกำหนด ๒ ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามคดีหมายเลขแดงที่ ๒๑๗๘/๒๕๔๓ ของศาลชั้นต้น และภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้ จำเลยกลับมากระทำความผิดคดีนี้อีก ขอให้ศาลบวกโทษที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษในคดีหลังด้วย และในคำขอท้ายฟ้องโจทก์ก็ได้ระบุว่าขอให้ศาลสั่งบวกโทษจำเลยตามกฎหมาย ดังนั้น ศาลย่อมมีอำนาจบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้ได้ แม้โจทก์จะมิได้ระบุถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘ ไว้ในคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ก็ตาม เพราะมาตราดังกล่าวมิใช่เป็นมาตราที่บัญญัติว่าเป็นการกระทำความผิดอันจำต้องอ้างมาในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๖) ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องและมีคำขอแล้ว โจทก์จะอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๘ หรือไม่ ศาลที่พิพากษาคดีหลังก็บวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีหลังได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน.